“ราช กรุ๊ป” ประกาศกำไร 2,088 ล้านบาทไตรมาส 1 มั่นใจปีนี้บรรลุเป้าหมาย 700 เมกะวัตต์
“ราช กรุ๊ป” เปิดผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 2,087.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.4 จากงวดเดียวกันของปี 2563 ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นของบริษัทย่อยในออสเตรเลีย ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ โครงการยานดินและโครงการคอลเล็กเตอร์ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่าย อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าThang Long เวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในสปป. ลาว ได้เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดหมายว่า ปีนี้จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ตามเป้าหมาย รวมทั้งขยายการลงทุนธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพด้วย
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้มุ่งเน้นการบริหารจัดการใน 3 ประเด็นหลักควบคู่กัน ทั้งการบริหารความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ที่ได้ลงทุนแล้ว เดินหน้าโครงการเป้าหมายที่มีอยู่ในมือเพื่อร่วมทุนให้สำเร็จ และการบริหารวางแผนทางการเงินให้รัดกุมเพื่อควบคุมต้นทุนและรักษาฐานะทางการเงินให้มั่นคงสามารถรองรับแผนการขยายการลงทุนของบริษัทฯได้ บริษัทฯ คาดว่ากำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนปีนี้จะเพิ่มขึ้นถึง 8,874 เมกะวัตต์ โดยกำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นเป็น 7,215 เมกะวัตต์ ซึ่งปีนี้มีโรงไฟฟ้า 4 แห่ง กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 537.04เมกะวัตต์เริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่าย ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมยานดิน ในออสเตรเลียกำลังการผลิต 214.2 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 70) โรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเล็กเตอร์ ในออสเตรเลีย กำลังการผลิต 226.8 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งหมด) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในอินโดนีเซีย กำลังการผลิต 296.23 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 49) และโรงไฟฟ้าพลังงานลม Ecowin ในเวียดนาม กำลังการผลิต 29.7 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 51) บริษัทฯ คาดหวังว่า ทั้ง 4 โครงการนี้จะช่วยเสริมหนุนรายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ในปีนี้ บริษัทฯ ยังให้น้ำหนักการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเป็นสำคัญ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนในโครงการประเภทเชื้อเพลิงหลักในต่างประเทศ กำลังผลิตรวมไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ และโครงการประเภทพลังงานทดแทนในต่างประเทศ อีกไม่น้อยกว่า 200 เมกะวัตต์ ส่วนการลงทุนในประเทศ บริษัทฯ ได้เข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน รวมกำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังแสวงหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต เพื่อเสริมสร้างฐานธุรกิจของบริษัทฯ ให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ ได้จัดสรรเงินลงทุนสำหรับโครงการใหม่ไว้ 7,000 ล้านบาท จากงบลงทุนรวมจำนวน 15,000 ล้านบาท ในไตรมาสแรก บริษัทฯ ได้ใช้เงินลงทุนไปแล้วจำนวน 3,257 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินลงทุนซื้อหุ้นร้อยละ 15.53 ของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และโครงการพลังงานลมเน็กส์ซีฟ เบนเตร ในเวียดนาม เป็นต้น บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการผลักดันเป้าหมายการลงทุนในปีนี้ได้สำเร็จ” นายกิจจา กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 8,701.32 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า จำนวน 8,569.09 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนรายได้ของกลุ่มโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักร้อยละ 85 และกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนร้อยละ 15 และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และอื่นๆ จำนวน 132.23 ล้านบาท
ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 116,915.01 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 51,951.36 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 64,963.65 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.54 เท่า อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) 4 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นร้อยละ 9.39