การเมือง

“PJW” กลับมาท็อปฟอร์ม โชว์กำไรปี 64 พุ่ง 47.30% จ่อต่อยอดธุรกิจ EV  

บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) โชว์ศักยภาพกลับมาท็อปฟอร์ม อวดกำไรปี64 แตะ  169.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.30% ขณะที่รายได้รวม แตะ 3,086.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.47% (YoY) ขานรับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจส่งผลยอดขายเติบโตอย่างโดดเด่น ประกอบกับยอดขายนิวโมเดล บรรจุภัณฑ์นม-นมเปรี้ยวพุ่ง ดันมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจโต พร้อมแจกจ่ายปันผล 0.08 บาทต่อหุ้น จ่ายวันที่ 5 พ.ค. 65 นี้ ด้านผู้บริหาร “ วิวรรธน์ เหมมณฑารพ”ประกาศพลิกเกมรุกบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ ปรับโครงสร้างกิจการ Spin off ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ให้กับบริษัทย่อย “PJW AutoEV” แทน เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆทางธุรกิจ พร้อมส่งซิกจ่อต่อยอดธุรกิจ EV

บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ “PJW” แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ว่า สำหรับปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ “PJW ” มีความโดดเด่นและมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากยอดขายที่เริ่มฟื้นตัวของกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น ทั้งส่วนของประเทศไทยและประเทศจีน รวมถึงในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ เริ่มมีคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์ เข้ามาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่เดียวกันบริษัทฯมีการควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลดความสูญเสีย

จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้รวม เท่ากับ 3,086.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 266.96 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.47 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 2,819.8 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 169.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.42 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 47.30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน(YoY) ที่มีกำไรสุทธิ 115.05 ล้านบาท สาเหตุที่บริษัทฯมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2564 ยอดขายเริ่มกลับมาฟื้นตัวในระดับเกือบจะเป็นปกติ ประกอบกับบริษัทฯมียอดขายใหม่ของงานนิวโมเดล ในส่วนของยอดขายบรรจุภัณฑ์สำหรับนมและนมเปรี้ยว เข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ยอดขายในประเทศจีน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 15

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) มีมติเสนอปันผลประจำงวดผลการดำเนินงานปี 2564  ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ไม่เกิน 45,926,395.60 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 18 เมษายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 นี้

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก “PJW” เปิดเผยว่า นอกจากผลการดำเนินงานปี 2564 ที่กลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ฉุดภาพรวมธุรกิจและทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมลดลงในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีการพิจารณาบริหารจัดการเพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีมติอนุมัติปรับโครงสร้างกิจการโดยการโอนกิจการบางส่วน (Partial Business Transfer : PBT) ได้แก่ 1). ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ 2). ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์พ่นสี 3). ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนที่ใช้เม็ดพลาสติกวิศวกรรมในงานอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมถึงชิ้นงานพลาสติกที่ไม่ใช่บรรจุภัณฑ์ และ 4). ผลิตและจำหน่ายแม่พิมพ์ที่ใช้สำหรับกิจการในธุรกิจชิ้นส่วนยายนต์  ไปยัง บริษัท พีเจดับเบิ้ลยู ออโต้อีวี จำกัด (“PJW AutoEV”) (เดิมชื่อ บริษัท พลาสเทค แล็บ จำกัด) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PJW ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน

 

สำหรับการปรับโครงสร้างกิจการในครั้งนี้ เพื่อให้บรรลุตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯในการบริหารการดำเนินธุรกิจแต่ละประเภทให้ชัดเจน และช่วยให้การบริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เพื่อสร้างโอกาสในการขยายและต่อยอดธุรกิจสู่การเติบโตและยั่งยืนในอนาคต รวมถึงยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินกิจการและการบริหารงานของกลุ่มบริษัทฯ

อย่างไรก็ตาม ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกิจการของบริษัทฯ “ PJW”ยังคงประกอบธุรกิจทั่วไป (Operating Company) โดยยังคงเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติก รวมถึงประกอบธุรกิจเข้าลงทุนรวมไปถึงการเข้าร่วมทุนในกิจการอื่น ดังนั้นการโอนกิจการ ให้แก่ “PJW AutoEV” ดังกล่าว เป็นการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ จึงไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัทแต่อย่างใด

“โดยส่วนตัวเชื่อว่าการปรับโครงการกิจการในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆในการขยายตัวทางธุรกิจ รวมถึงยังเป็นการเปิดโอกาสในการหาผู้ร่วมทุนหรือพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่ง และยังสามารถเพิ่มขีดการแข่งขันของบริษัท และเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินกิจการและการบริหารงานองค์กรของกลุ่มบริษัทฯ และเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจออกจากกัน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้การบริหารงานองค์กรเกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น”

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button