NRF เดินหน้านำเทคโนโลยี Blockchain ชูจุดเด่นใช้พลังงานสะอาด 100% รายแรก
บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF เดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ต่อสู้กับโลกร้อน นำเทคโนโลยี Blockchain เสริมศักยภาพทางธุรกิจ รุกลงทุนเครื่องขุดบิตคอยน์ 2,200 เครื่อง เซ็น MOU กับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดในไทย รองรับธุรกิจเหมืองขุดคริปโทฯ ที่ใช้พลังงานสะอาด 100% เป็นรายแรกในไทย
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทานและเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ เปิดเผยว่า บริษัทฯ นำเทคโนโลยี Blockchain มาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว รวมทั้งเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ที่มีเป้าหมายสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร เนื่องจาก Blockchain เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยสามารถนำมาต่อยอดกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ เช่น การเพิ่มช่องทางสร้างรายได้, ลดต้นทุนภาคการผลิต, สามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้โปร่งใสและมีเสถียรภาพมากขึ้น เป็นต้น
โดยในระยะเริ่มต้นบริษัทฯ จะรุกธุรกิจเหมืองขุดคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่ใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด จำนวน 10 เมกะวัตต์ (MW) เพื่อรองรับการขุดบิตคอยน์จำนวน 2,000 – 2,200 เครื่อง สามารถขุดบิตคอยน์ได้ 50-55 BTC ต่อเดือน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการรายแรกในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบ Clean Cryptocurrency โดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด 100%
บริษัทฯ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในเครื่องขุดบิตคอยน์ราว 700 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนและเงินกู้บางส่วน ทั้งนี้ บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่นี้ทันทีหลังจากเริ่มดำเนินการติดตั้ง เบื้องต้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาคืนทุน 20-30 เดือน
“เรามองว่าเทคโนโลยี Blockchain เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ต่อสู้กับโลกร้อนเพื่อการเติบโตในอนาคต จึงได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจนี้มาตั้งปีก่อน จนกระทั่งเล็งเห็นโอกาสจากการในการใช้ไฟฟ้า
จากพลังงานสะอาดมาใช้ในเหมืองขุดคริปโทฯ นอกจากนี้ เรายังวางแผนจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศสหรัฐฯ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจดังกล่าวเพิ่มเติม เนื่องจากมีต้นทุนพลังงานที่ถูกกว่าไทยประมาณ 3 เท่า และสำคัญเนื่องจากว่าค่าไฟฟ้าคิดเป็นประมาณ 30% ของต้นทุนทั้งหมดในการขุดคริปโทฯ” นายแดน กล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นก้าวแรกของ NRF กับการลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และนำเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะขยายไปสู่ธุรกิจ Blockchain รูปแบบอื่นๆ อาทิ การใช้เทคโนโลยี smart contract เพื่อลดขั้นตอนและเพิ่มความโปร่งใสในการจัดซื้อวัตถุดิบ รวมไปถึงการใช้ NFT หรือ Non-Fungible Token เป็นเครื่องมือส่งเสริมทางการตลาดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทฯ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเพิ่มโอกาสการดำเนินธุรกิจและการเติบโตในอนาคต