“บริทาเนีย” ทำกำไรทุบสถิติ Q1 ฟันธงกำลังซื้อทยอยฟื้นตัวหลังโควิด
บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI โชว์ผลงานไตรมาส 1/2565 ร้อนแรง ทำกำไรสุทธิ 352.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดรับรู้รายได้รวม 1,483.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.4% จากช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน ทุบสถิตินิวไฮอย่างต่อเนื่อง หลังบันทึกกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนและรายได้ค่าบริหารโครงการ รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายและโครงการใหม่มีผลตอบรับดี เผยต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นยังไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ มองแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทยอยฟื้นตัว หลัง COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลเริ่มเปิดประเทศเต็มรูปแบบกระตุ้นเศรษฐกิจ
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI
เปิดเผยว่า สามารถทำผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 ดีกว่าที่คาดไว้ และเป็นสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาสทั้งรายได้กำไรสุทธิ โดยมียอดรับรู้รายได้รวมทั้งสิ้น 1,483.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 47.2% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 352.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 134.7% จากไตรมาสก่อนหน้า
ผลประกอบการที่เติบโตก้าวกระโดด มาจากการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนและรายได้ค่าบริหารโครงการ รวมจำนวน 212.9 ล้านบาท หลังจากได้เซ็นสัญญาโครงการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์รวม 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย โฮม บางนา กม.17, บริทาเนีย ทาวน์ บางนา กม.17 และโครงการแกรนด์ บริทาเนีย คูคต สเตชั่น
ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายในปัจจุบันสามารถทำยอดโอนกรรมสิทธิ์ได้ดี รวมถึงการเปิดตัวโครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์ – นครอินทร์ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีผลตอบรับที่ดี สามารถทำยอดขายได้แล้ว 72% และมียอดโอนกรรมสิทธิ์คืบหน้าตามเป้าหมาย
ขณะเดียวกัน ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย การออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์โดยลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง การผ่อนปรนมาตรการหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาแบบบ้านและบริการหลังการขายตลอดช่วงอายุของการพักอาศัย ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้โครงการของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดี
โดยภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลายและสามารถกระจายวัคซีนได้อย่างทั่วถึง ประกอบกับรัฐบาลได้เริ่มเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบโดยยกเลิกมาตรการ Test & Go คงเหลือเพียงการตรวจ ATK ส่งผลดีต่อการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจต่างๆ และผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินชีวิตวิถีใหม่แบบ New Normal ทำให้ที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด
เป็นต้น เป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างมากและแบ่งการใช้งานเป็นสัดส่วน สามารถรองรับการทำงานแบบ Work from Home ได้ดีกว่าการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม จึงทำให้โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อระดับกลาง – บน หากยังเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ในด้านราคา ฟังก์ชันและพื้นที่ใช้สอย รวมถึงอยู่ในทำเลใกล้แนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง
ส่วนสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่ส่งผลกระทบกับต้นทุนก่อสร้างของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เนื่องจากได้เจรจาล็อกราคาค่าก่อสร้างไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวมถึงได้มุ่งเน้นการบริหารต้นทุน โดยวางแผนการก่อสร้างในระยะยาวร่วมกับคู่ค้าและพันธมิตร รวมถึงติดตามสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่องและประเมินแนวโน้มต้นทุนค่าก่อสร้างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์
“เราวางเป้าหมายเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาสในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภายใต้กลยุทธ์ ‘Growth Together’ ที่จะร่วมเติบโตไปด้วยกัน และมุ่งมั่นสร้างความพึงพอใจสูงสุดกับผู้ถือหุ้นและยังคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียกับทุกภาคส่วน เพื่อประโยชน์ระยะยาวอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขาย (Presale) ได้เกือบ 630 ล้านบาท แม้เป็นเดือนที่มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดแคมเปญ BRITANIA SUMMER BLOSSOM ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี” นางศุภลักษณ์ กล่าว