“ไทยยูเนี่ยน” ทุบยอดขายสถิติสูงสุดไตรมาส 2 ประกาศจ่ายเงินปัน เผยโรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทานเสร็จปี 2566
วันนี้ (8 ส.ค.65) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โชว์ความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก ตอกย้ำความเชื่อใจและความนิยมในสินค้าของบริษัทจากผู้บริโภคทั่วโลก เดินหน้าก่อสร้างโรงงานโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจน เปปไทด์ รวมถึงโรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทานแล้วเสร็จในปี 2566
ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้รายงานยอดขาย 38,946 ล้านบาท สูงขึ้น 8.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกด้วย โดยมีปัจจัยหลักจากความต้องการสินค้าและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปรกติประจำไตรมาสก่อนหักรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของหุ้นบุริมสิทธิ์ใน เรด ล็อบสเตอร์ สืบเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นจำนวน 424 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างโรงงาน รูเก้น ฟิช ในประเทศเยอรมันจำนวน 195 ล้านบาท อยู่ที่ 2,243 ล้านบาท ลดลง 8.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ผลงานยอดขายที่ยอดเยี่ยมของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ทำให้เกิดสมดุลระหว่างหน่วยธุรกิจหลักทั้ง 3 ธุรกิจ โดยธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมียอดขายเติบโตขึ้น 10.7 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 16,912 ล้านบาท จากปัจจัยของราคาที่สูงขึ้น บวกกับการอ่อนตัวของค่าเงินบาท และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น มียอดขายปรับตัวลดลง 6.5 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 13,900 ล้านบาท จากธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสู่สภาวะปกติ หลังจากฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ยังคงทำผลงานได้ดีเยี่ยม โดยยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 41.7 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 8,133 ล้านบาท จากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้นมาก การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้า และยอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น
สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีแรก ยอดขายอยู่ที่ 75,217 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปรกติอยู่ที่ 3,911 ล้านบาทลดลง 12.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนยังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.40 บาทต่อหุ้น
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยธุรกิจของไทยยูเนี่ยนที่มีความหลากหลาย ทำให้เป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเรา ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทยังคงทำผลงานได้ดีแม้จะมีรายการพิเศษสองรายการ นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้ไทยยูเนี่ยนซึ่งมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาจากศูนย์นวัตกรรมของเรา ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นด้วยแบรนด์ต่างๆ ของเราที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วโลก”
ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับธุรกิจที่ให้ผลกำไรในอัตราที่สูง โดยในไตรมาส 2 บริษัทได้ประกาศลงทุน 10 ล้านเหรียญแคนาดา ในบริษัท มาร่า รีนิวเอเบิลส์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตส่วนประกอบอาหารจากสาหร่ายไมโครแอลจีด้วยนวัตกรรมที่โดดเด่นเฉพาะตัว นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าก่อสร้างโรงงานโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจน เปปไทด์ รวมถึงโรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีแผนแล้วเสร็จในปี 2566
ในส่วนของการทำงานด้านความยั่งยืน ไทยยูเนี่ยนได้ตีพิมพ์รายงานความยั่งยืนประจำปี ฉบับที่ 9 โดยมีเนื้อหาเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของบริษัทที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก และมีแผนจะมีการปรับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® ครั้งใหญ่ภายในปีนี้ ซึ่งจะรวมถึงการตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets) เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องมหาสมุทร ณ เมืองกัสไกส์ ประเทศโปรตุเกส และลงนามใน UN Global Compact Sustainable Ocean Principles หรือหลักการมหาสมุทรที่ยั่งยืนโดยข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับบริษัทเอกชน 150 แห่ง เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการดูแลมหาสมุทรให้อุดมสมบูรณ์
“ไทยยูเนี่ยนยังทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและการเงินปี 2568 ได้ตรงตามเป้า อย่างไรก็ดีเราตระหนักดีว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในหลายๆ ประเทศ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และอุปสรรคในห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารต้นทุนให้ได้ประสิทธิภาพ พัฒนาธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง และสร้างการดำเนินงานที่เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ” ธีรพงศ์ จันศิริ กล่าวทิ้งท้าย