“โออาร์” ทุ่มลงทุน 3.1 หมื่นล้านมุ่งสู่พลังงานสะอาด เจาะตลาดน้ำมันพรีเมี่ยม และขยายธุรกิจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
“โออาร์” เปิดแผนลงทุนปี 66 ทุ่ม 3.1 หมื่นล้านบาทมุ่งสู่พลังงานสะอาด พร้อมขยายธุรกิจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น ผ่านปั๊มน้ำมันโฉมใหม่ “แฟล็กชิฟสโตร์” ต้นแบบพลังงานสีเขียวประกอบด้วยสถานีชาร์จ EV โซลาร์รูฟท็อป และแบบเตอร์รี่กักเก็บพลังงาน ลดคาร์บอน คาดได้ฤกษ์เปิดแห่งแรกเดือน พ.ค. นี้ เล็งเจาะตลาดน้ำมันระดับพรีเมี่ยมในช่วงตลาดโลกลดลง มั่นใจยอดขายน้ำมันเครื่องบินในไตรมาส 3 จะกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด
นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 โออาร์ได้เตรียมงบลงทุนจำนวน 31,197 ล้านบาท มุ่งเน้นการขยายและสร้างความแข็งแกร่งของ Business Value Chain ของ กลุ่มธุรกิจ Lifestyle โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 14,193 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% ของงบลงทุน สำหรับขยายสาขาร้าน Café Amazon และร้าน Texas Chicken รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรและการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ โดยนอกจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) แล้วโออาร์ยังให้ความสำคัญในกลุ่มธุรกิจด้าน Health & Wellness และ Tourism
ด้านกลุ่มธุรกิจ Mobility มุ่งรักษาความเป็นผู้นำใน Mobility Ecosystem ทั้งในแง่การขยายสาขา PTT Station และ EV Station PluZ รวมถึงการผลักดันให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท. อย่างเป็นระบบ รวมไปถึงการลงทุนใน Green Energy เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของแหล่งพลังงาน ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะต้องการพลังงานชนิดใดสำหรับการเดินทาง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 6,799 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22% ของงบลงทุน โดยที่ผ่านมาได้ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า “EV Station PluZ” แล้วทั้งสิ้นจำนวน 302 แห่ง (หรือ 909 หัวชาร์จ) และได้ร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายในการขยายเครือข่าย EV Station PluZ ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าใช้บริการได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นําในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) และได้ตั้งเป้าหมายในปีนี้จะเพิ่มการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าอีกจำนวน 500 แห่ง รวมทั้งสิ้นเป็น 800 แห่งภายในปีนี้
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Global ยังคงมุ่งขยายการลงทุนในการเปิด PTT Station และ Café Amazon ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในประเทศที่ OR ได้เข้าไปดำเนินการแล้ว พร้อมแสวงหาโอกาสในการลงทุนในประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 4,954 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของงบลงทุน ส่วน กลุ่มธุรกิจ OR Innovation มุ่งแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจในปัจจุบัน โดยกำหนดหลักเกณฑ์ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างนวัตกรรมในแบบฉบับของโออาร์ เพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรสมัยใหม่ และทำให้โออาร์เติบโตไปพร้อมกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในนวัตกรรมเพื่อพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 5,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% ของงบลงทุน
“ในปี 2566 ทางโออาร์มุ่งสู่พลังงานสะอาด มีการลงทุนเพื่อตอบโจทย์ของโออาร์จากธุรกิจน้ำมันมุ่งไปสู่ไฟฟ้า พร้อมกันนี้ได้เน้นธุรกิจ Lifestyle โดยมีแผนจะดำเนินการสถานีบริการน้ำมัน PTT Station โฉมใหม่ที่เรียกว่า “แฟล็กชิฟสโตร์” สาขาถนนวิภาวดี 62 ซึ่งจะเป็นสาขาต้นแบบที่มีขนาดใหญ่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ค้าปลีกมากขึ้น และยังจะตอบโจทย์การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในปี 2050 ด้วย มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ มีการติดตั้ง EV Station มีการติดตั้งโซลาร์รูปท็อป พร้อมระบบแบตเตอร์รี่กักเก็บพลังงาน และการคำนวณการปล่อยคาร์บอนของรถที่มาใช้บริการในสถานีบริการ รวมถึงการใช้แก้วในร้านกาแฟอเมซอนก็จะการเครดิตพ้อยด้วย คาดว่าสถานีต้นแบบแฟล็กชิพสโตร์จะเปิดให้บริการในเดือนพ.ค. นี้”
นายดิษทัต กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 80-87 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงเมื่อเทียบจากปี 2565 ที่อยู่ระดับ 96.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปี 2564 อยู่ที่ระดับ 69.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ด้านนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR กล่าวเสริมว่า เดิมธุรกิจไลฟ์สไตล์เดิมมีสัดส่วน 25% ในปี 2566 คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นไปอีก ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น โดยช่วงไตรมาส 3 หรือ 4 ปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้น้ำมันเครื่องบินเติบโตตามไปด้วย ซึ่งปี 2565 มียอดขายน้ำมันเครื่องบินอยู่ที่ 1,600 ล้านลิตร เมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดอยู่ที่ 3,200 ล้านลิตร นอกจากนี้ โออาร์ยังมุ่งเจาะตลาดน้ำมันระดับพรีเมี่ยมในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงด้วย
ทั้งนี้ โออาร์ยังได้ส่งมอบโอกาสผ่านการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมต่างๆ อาทิ การสร้างรายได้ให้แก่ผู้ด้อยโอกาสครอบคลุมกลุ่มผู้สูงวัย ผู้บกพร่องทางการได้ยินและการเรียนรู้ ให้มีรายได้จากการทํางานเป็นบาริสต้า ผ่านร้าน Cafe Amazon for Chance แล้วกว่า 137 คน การจัดโครงการพื้นที่ปันสุขและตลาดเติมสุข ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรและชุมชนให้สามารถนําผลผลิตมาจําหน่ายในพื้นที่สถานีบริการ PTT Station ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตลอดจนการรับซื้อผลผลิตการเกษตรที่ล้นตลาดเพื่อมาจัดกิจกรรมให้กับลูกค้าที่เติมน้ำมัน ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนจากการขายสินค้ามากกว่า 15.6 ล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ โออาร์ยังให้ความสำคัญกับสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของโออาร์ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบไปด้วย S – SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก D – DIVERSIFIED โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ G – GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาด โดยล่าสุดโออาร์ ได้รับการคัดเลือกจาก S&P Global ให้อยู่ในทำเนียบธุรกิจที่มีความยั่งยืน “The Sustainability Yearbook 2023” กลุ่มธุรกิจ Retailing ภายหลังจาก โออาร์เข้าร่วมประเมินความยั่งยืนในระดับสากลในปีแรกที่เข้าร่วม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั้ง 3 มิติ ของโออาร์ ได้แก่ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม มิติเศรษฐกิจและการกำกับดูแลกิจการ สอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินระดับสากลของ DJSI (Dow Jones Sustainability Indices)