“นิด้า”ประเมิน GDP ปี 63 แนวโน้มขยายตัว -2ถึง-3%
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2563 GDP ขยายตัว -2 ถึง -3% หากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลายในเดือนกันยายนนี้ ห่วงภาคการส่งออก ท่องเที่ยวและภาคธุรกิจ SMEs ที่ถูกปิดให้บริการเป็นการชั่วคราวเจอผลกระทบ ชี้มาตรการระยะสั้นรัฐบาลควรเร่งอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ช่วยเหลือแรงงาน เกษตรกรและ SMEs รวมถึงมาตรการจากสถาบันการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ คาดต้องใช้เม็ดเงินอีก 4-5% ของ GDP หรือ 6.5 แสนล้านบาท และงบลงทุน งบกลางและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจเพื่อแก้ไขขจัดปัญหาเศรษฐกิจรอบนี้ ส่วนในระยะกลางจะต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนในงบประมาณแผ่นดินและเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวเพื่อลดพึ่งพารายได้จากการส่งออก
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) และการประกาศปิดให้บริการศูนย์การค้าและธุรกิจบางประเภทในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและบางจังหวัดเป็นการชั่วคราวเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด ตลอดจนเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่คิดเป็นสัดส่วนรวมกัน 60-65% ของมูลค่า GDP ทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว เป็นสัดส่วน 72% ของ GDP ทำให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว ดังนั้นประเมินว่าหากสถานการณ์คลี่คลายได้ภายในเดือนกันยายนนี้ จะส่งผลกระทบต่อ GDP ในปี 2563 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตรา –2% ถึง -3%
ทั้งนี้ ประเมินว่าปริมาณจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ จะลดลง 10 – 13 ล้านคน หรือประมาณ 30% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปีที่ผ่านมาเกือบ 40 ล้านคน และการท่องเที่ยวในประเทศก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน คาดว่าส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้ลดลง 5-6.5 แสนล้านบาท เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป ได้รับผลกระทบจากปัญหาโรคระบาด มีเพียงจีนที่เริ่มควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดได้แล้วและเริ่มเข้าสู่ช่วงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสามารถการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนคือปัญหาหนี้ครัวเรือน โดย ณ สิ้นปี 2562 มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือน 79.3% ของ GDP หรือประมาณ 13.5 ล้านล้านบาท และหากนับรวมตัวเลขหนี้นอกระบบคาดว่าจะมีสัดส่วนสูงกว่า 100% ของ GDP ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล
รศ.ดร.มนตรี กล่าวต่อว่า จากการประเมินผลกระทบรัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อเป็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยการใช้เงินอัดฉีดจากทุกภาคส่วนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 4-5% ของ GDP หรือประมาณ 6.5 แสนล้านบาท เช่น งบจากกองทุนประกันสังคม, สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ฯลฯ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ติดลบไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยรัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบกลางเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และจำเป็นต้องมีมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจต่างๆ ตลอดจนแรงงานทั้งที่อยู่ในระบบประกันสังคมและไม่อยู่ในระบบประกันสังคมในช่วงที่นายจ้างหยุดกิจการ ได้แก่ 1.การให้ความช่วยเหลือแรงงานที่มีประกันสังคมและแรงงานที่เป็นผู้ประกันตน โดยอาจใช้เงินสะสมในกองทุนประกันสังคมของแรงงานละแต่ละรายเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ส่วนแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมจำเป็นต้องพึ่งพามาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐโดยผ่านธนาคารออมสิน เป็นต้น 2.ภาคการเกษตร โดยสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารออมสิน สามารถให้ความช่วยเหลือด้านการแบ่งเบาภาระ 3.ภาคธุรกิจที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs จำเป็นที่รัฐบาลและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME BANK) และธนาคารออมสิน จะต้องมีมาตรการให้ความช่วยเหลือ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในช่วงที่ธุรกิจต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราว นอกจากนี้การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.75% ในการประชุมนัดพิเศษ ก็จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการได้
ส่วนในระยะกลาง จะต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนในงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 5.5 แสนล้านบาท ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออีกกว่า 6 เดือนของปีงบประมาณ 2563 และเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีกประมาณ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อให้เงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจากการลงทุนพัฒนาโครงการต่างๆ
“ขณะที่การแก้ไขปัญหาในระยะยาวมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยจะต้องลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออกและมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการพึ่งพาการบริโภคในประเทศ เพื่อปรับสัดส่วนรายได้ระหว่างการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศอยู่ในระดับ 50:50 จากปัจจุบันที่พึ่งพารายได้จากการส่งออก 72% และในประเทศ 28%” รศ.ดร.มนตรี กล่าว