“ธุรกิจประกันชีวิต” ปี 63 คาดติดลบ 2-5% เบี้ยรับรวมอยู่ที่ 5.8–6 แสนล้าน
“ธุรกิจประกันชีวิต”ฝ่าวิกฤตโควิดช่วง 6 เดือนแรก ติดลบ 3.3% ส่งผลต่อการเติบโตภาพรวมตลอดปี 63 ติดลบ 2-5% หรือคิดเป็นเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 5.8–6 แสนล้านบาท เร่งปรับทัพผลิตภัณฑ์ทยอยปรับลดประกันชีวิตจากประเภทออมทรัพย์ที่ประสบภาวะดอกเบี้ยต่ำ มุ่งสู่ผลิตภัณฑ์ควบการลงทุน Universal Life , Unit Linked และ Participating Policy ชี้ธุรกิจยังปัจจัยเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกหลังไวรัสโควิด ความความเปราะบางอัตราดอกเบี้ยต่ำ และ IFRS 17 ที่จะประกาศใช้ในปี 67
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยภายหลังรับตำแหน่งสมัยที่ 5 ว่า ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 (มกราคม – มิถุนายน) ธุรกิจประกันชีวิตมีผลงานเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 285,942.47ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 3.27 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา จำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ จำนวน 76,196.28 ล้านบาท อัตราเติบโตลดลงร้อยละ 9.29 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปจำนวน 209,746.19 ล้านบาท อัตราเติบโตลดลงร้อยละ 0.88 และมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตร้อยละ 81
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย เบี้ยประกันภัยรับปีแรก จำนวน 49,559.58 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.77 และเบี้ยประกันภัยรับชำระครั้งเดียว จำนวน 26,636.70 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 24.55
ส่วนการจำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับตามช่องทางการจำหน่าย มีดังนี้ อันดับ 1 การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 142,246.06 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 49.75 หรือเติบโตลดลงร้อยละ 1.10 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 2 การขายผ่านธนาคาร จำนวน 116,580.46 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 40.77 หรือเติบโตลดลงร้อยละ 7.35 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 3 การขายผ่านช่องทางนายหน้า จำนวน 13,446.58 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 4.70 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.40 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 4 การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ จำนวน 6,942.73 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 2.43 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.92 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 5 การขายผ่านช่องทางดิจิทัล 328.57 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 0.11 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 88.01 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 6 การขายผ่านช่องทางไปรษณีย์ จำนวน 23.26 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 0.01 หรือเติบโตลดลงร้อยละ 8.89 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 7 การขายผ่านช่องทางอื่น ๆ 6,374.79 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 2.23 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.53 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตที่ลดลงในช่วงครึ่งแรก ปี 2563 เนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดมาตรการป้องกันระหว่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่าง ๆ ทำให้ขาดสภาพคล่อง หลายธุรกิจปิดตัวลงมีคนจำนวนมากว่างงานสูญเสียรายได้ ผู้บริโภคต้องปรับตัวโดยการประหยัดรายจ่ายส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นเดียวกับธุรกิจประกันชีวิต โดยเฉพาะช่องทางตัวแทนประกันชีวิตซึ่งเป็นช่องทางหลักที่ไม่สามารถออกไปเสนอขายด้วยวิธี face to face ได้ ซึ่งทางสมาคมได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการแก้ปัญหาเบื้องต้น โดยการเสนอแนวทางการเสนอขายแบบ Digital face to face ที่ให้ผู้เสนอขายสามารถเสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้เสียงและภาพให้ถือเสมือนเป็นการพบลูกค้า ในระหว่างสถานการณ์จำเป็น และได้รับความยินยอมจากลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยแวดล้อมของธุรกิจที่ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางธนาคารลดลง ภาวะความกดดันจากเรื่องมาตรฐานรายงานทางบัญชีและการเงิน IFRS 17 พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และการเผชิญกับอัตราความเสียหายจากคนกลางและการฉ้อฉลประกันภัย (Fraud & Abuse) สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่ออัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในครึ่งปีแรกทั้งสิ้น
นายสาระ กล่าวว่า ธุรกิจประกันชีวิตไทยในครึ่งหลังของปี 2563 สมาคมประกันชีวิตไทยคาดการณ์ว่า เบี้ยประกันภัยรับรวมจะมีการปรับตัวลดลงมากกว่าปี 2562 ที่ผ่านมา โดยมีอัตราการเติบโตลดลงอยู่ระหว่าง ร้อยละ 2 ถึง ร้อยละ 5 คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 580,000-600,000 ล้านบาท สอดคล้องกับการคาดการณ์ GDP ของประเทศที่มีการปรับลดลงประมาณ ร้อยละ 6 (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) แต่หากภายหลังรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการกำกับในการควบคุมไวรัสโควิด -19 รวมถึงสถานการณ์ระบาด ในหลายประเทศ มีอัตราผู้ติดเชื้อลดลงในระดับที่ควบคุมได้ ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ธุรกิจประกันชีวิตก็จะมีโอกาสเติบโตได้ เนื่องจากประชาชนเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการทำประกันชีวิตและวางแผนประกันสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
ส่วนทิศทางผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนั้น ภาคธุรกิจเริ่มทยอยปรับลดผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทออมทรัพย์ที่มีการการันตีผลตอบแทนออกจากตลาด เหตุเพราะภาวะดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ภาคธุรกิจหาผลตอบแทนให้ลูกค้าได้ยากขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจมองว่าแนวโน้มผลิตภัณฑ์นับจากนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ควบการลงทุน Universal Life , Unit Linked , หรือ Participating Policy โดยเน้นการลงทุนตามความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันภัยยอมรับได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองระยะยาวและประกันสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2563-2564 ภาคธุรกิจยังคงเผชิญกับความท้าทายจากหลากหลายปัจจัย อาทิ สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกหลังไวรัสโควิด-19 ระบาดยังคงมีความความเปราะบาง ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีแนวโน้มที่เกิดจุดต่ำสุดใหม่ได้อีก (New low-Yield) ส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันชีวิตในทุกมิติ ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตต้องเร่งผนึกกำลังสร้างเกาะป้องกัน และจัดทำแนวทางที่จะบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังมีเรื่องมาตรฐานรายงานทางการเงิน IFRS 17 ที่จะถูกนำมาใช้ในประเทศไทย ปี 2567 ส่งผลให้บริษัทต้องลงทุนเม็ดเงินจำนวนมากทั้งระบบการจัดเก็บข้อมูลการคำนวณทางคณิตศาสตร์ฯ กระบวนการทำงานและบุคลากรที่ปรึกษาในการจัดทำ IFRS 17 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสังคม (Environment Change) ทั้งจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนโครงสร้างประชากร (Aging Society) และการเข้ามาของเทคโนโลยี 5G 6G ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวผลักดันให้รูปแบบการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตจะต้องเตรียมพร้อมและจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
สำหรับปัจจัยส่งเสริมที่เป็นตัวสนับสนุนให้ธุรกิจประกันชีวิตในปี 2563-2564 มีการเติบโต ปัจจัยแรกมาจากภาครัฐ สืบเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ประกอบกับการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมาทำให้ประชาชนหันมาตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและบรรเทาผลกระทบให้กับบริษัทประกันชีวิต เช่น การปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ การปรับปรุงร่างประกาศเสนอขายให้เป็น Digital face to face เพื่อลดขั้นตอนและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการเสนอขายให้กับตัวแทนประกันชีวิตมากขึ้น
ปัจจัยที่สองมาจากภาคธุรกิจ ที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการบริหารช่องทางการขายและการบริการให้สอดคล้องกับสถาณการณ์ปัจจุบัน เช่น การพัฒนาช่องทางการขายในรูปแบบ Digital และการบริหารผ่านระบบออนไลน์ในรูปแบบแพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้มีความหลากหลาย ให้สามารถตอบสนองความต้องการและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เน้นการให้ความคุ้มครอง รวมถึงพัฒนาสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติม ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด แต่ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังคงมีความแข็งแกร่ง และสามารถแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยมีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ภาคธุรกิจเปิดรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งระบบเทคโนโลยี แพลตฟอร์มที่ให้บริการ และโมเดลธุรกิจแบบใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ ถือเป็นผลกระทบในเชิงบวกกับธุรกิจประกันชีวิตที่ทำให้ได้พัฒนาตัวเอง เพื่อให้กลุ่มผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง