50 ปี กฟผ.พลิกโฉมองค์กรสู่ดิจิทัล
กฟผ. ขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด 50 ปี ในการพัฒนาและรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า พร้อมก้าวสู่ทศวรรษใหม่สู่โรงไฟฟ้าดิจิทัล และมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมพลังงานอย่างไม่หยุดยั้งสู่พลังงานสีเขียว เพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไทยและเป็นศูนย์กลางระบบไฟฟ้าอาเซียน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาค ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างความสุขและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
วันนี้ (30 เมษายน 2562)นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนา กฟผ. ครบรอบ 50 ปี ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ภายใต้แนวคิด “50 ปี กฟผ. เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของคนไทย” โดยกล่าวว่า 50 ปีที่ผ่านมา กฟผ. ดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอย่างเพียงพอและทั่วถึงจากกำลังผลิตติดตั้ง 907 เมกะวัตต์ ในปี 2512 จวบจนถึงปัจจุบัน กฟผ. ครบรอบวันสถาปนา 50 ปี ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 นี้ ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งประเทศ 54,816 เมกะวัตต์ โดยเป็นโรงไฟฟ้าของ กฟผ. 14,566 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 27 ของกำลังผลิตรวมทั้งประเทศ ในส่วนด้านระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. ได้พัฒนาระบบส่งเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประเทศในกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทน ปัจจุบันสายส่งไฟฟ้าของ กฟผ. มีความยาวทั้งสิ้น 35,088.156 วงจร-กิโลเมตร สถานีไฟฟ้าแรงสูงรวม 228 สถานี (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน2562)
“กฟผ. ขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทย จนทำให้ กฟผ. เดินทางมาถึง 50 ปีในวันนี้ กฟผ. จะมุ่งมั่นทำหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอย่างเต็มความสามารถและจะพัฒนางานและนวัตกรรมพลังงานอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน”
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับทิศทางการดำเนินภารกิจขององค์กรในอนาคต กฟผ. พร้อมปรับตัวและพร้อมรับมือเพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าให้รองรับกับสถานการณ์พลังงานและพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยจะพัฒนา Grid Modernization เพื่อดูแลระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับพลังงานหมุนเวียนที่จะมีเพิ่มขึ้น เพื่อให้พลังงานไฟฟ้า ในอนาคตเป็นพลังงานสีเขียวโดยไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เช่น การปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าหลักได้อย่างทันท่วงทีเมื่อพลังงานหมุนเวียนหายไป มีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage) และแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) นำร่อง 2 แห่ง คือ สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ และ สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี มีระบบการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า มีระบบส่งไฟฟ้าที่สื่อสารข้อมูลกับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะได้ และมีระบบการพยากรณ์และควบคุมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน (Renewable Forecast Center) เป็นต้น
นอกจากนี้ กฟผ. จะพัฒนาโรงไฟฟ้าของ กฟผ. สู่การเป็นโรงไฟฟ้าดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง แม่นยำ ควบคุมและสั่งการผ่านระบบดิจิทัล มีระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ระบบ AI วิเคราะห์และประมวลผลการทำงาน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการควบคุมโรงไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้โรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพและมีความพร้อมจ่ายสูง โดยเริ่มที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและโรงไฟฟ้าจะนะ รวมทั้ง กฟผ. ยังได้ร่วมมือกับ กฟภ. และ กฟน. จัดทำ National Energy Trading Platform (NETP) เพื่อรวบรวมข้อมูลการซื้อขายไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่ง กฟผ. จะเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการข้อมูลของประเทศ
ด้านระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าของประเทศให้มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ขยายขอบเขตการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในระดับภูมิภาค (Grid Connectivity) พร้อมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Power Grid) โดยในระยะแรกมีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศแบบพหุภาคีและมัลติ (Multilateral Power Trade) เช่น ลาว ไทย มาเลเซีย จะมีการเพิ่มปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าระหว่าง 3 ประเทศ สปป.ลาว ไทย และมาเลเซีย (LTM) จาก 100 เมกะวัตต์ เป็น 300 เมกะวัตต์ และจะขยายผลไป 4 ประเทศในอนาคต (LTMS) พร้อมทั้งมีการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก เชื่อมสายส่งระหว่าง สปป.ลาว ไทย เมียนมาร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ กฟผ. ยังมีการพัฒนานวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าสู่รูปแบบใหม่ เป็นแบบ Hybrid เช่น ระบบ Wind Hydrogen Hybrid ซึ่งนำมาใช้ในโครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ 2 บริเวณอ่างพักน้ำตอนบนโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา, โครงการโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อน (Hydro -Floating Solar Hybrid) ซึ่งจะนำร่องติดตั้งที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี กำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นโครงการไฮบริดแห่งแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น ซึ่ง กฟผ. จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเพิ่มเติมอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับพลังงานหมุนเวียน และความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ
ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวต่อว่า นอกจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีแล้ว กฟผ. ยังมีการพัฒนางานด้านชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นจากที่ดำเนินการมาตลอดระยะเวลา 50 ปี ซึ่ง กฟผ. ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ มากมายเพื่อดูแลสังคมชุมชนให้ “อยู่ดีมีสุข” อาทิ โครงการปลูกป่า กฟผ., โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน, โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ, การคืนความรู้สู่สังคม ด้วย โครงการห้องเรียนสีเขียว และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ทั่วประเทศ โดย กฟผ. มุ่งมั่นพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนให้ดีขึ้นตามแนวทางศาสตร์พระราชาและหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) อีกทั้ง กฟผ. ยังมีโครงการระยะยาวเพื่อชุมชน อาทิ เหมืองแม่เมาะจะหมดอายุในอีก 25 – 30 ปีข้างหน้า กฟผ. จะมีโครงการพัฒนาแม่เมาะให้เป็นเมืองน่าอยู่ (Mae Moh Smart City) ที่จะมีการบริหารจัดการด้านพลังงานและด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนแม่เมาะ จ.ลำปาง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมและยั่งยืน เป็นต้น
“กฟผ. เชื่อมั่นว่า ทิศทางการดำเนินภารกิจและการปรับตัวขององค์กรและพนักงาน ด้วยการนำใช้ดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และคล่องตัวเพิ่มขึ้น มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านพลังงานไฟฟ้าให้สามารถรองรับกับทุกสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนไปและการแข่งขันทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น จะสามารถสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้าได้ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และ กฟผ. จะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข ดังปณิธานของ กฟผ. ที่ตั้งมั่นมาตลอดระยะเวลา 50 ปีและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ว่า กฟผ. ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย” นายวิบูลย์ กล่าวในที่สุด