‘ไซมิส แอสเสท’ เคาะราคาขายหุ้น IPO 5.50 บาทต่อหุ้น จ่อเข้าเทรด 25 ธ.ค. นี้
‘บมจ.ไซมิส แอสเสท’ หรือ SA กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น ที่ราคา 5.50 บาทต่อหุ้น เปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 17-18 และ 21 ธ.ค. 2563 ชี้ได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ความต้องการท่วมท้น หลังจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลแต่นักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา คาดนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 25 ธ.ค.นี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SA” ชูศักยภาพการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence เพื่อยกระดับการพักอาศัยและสร้างความแตกต่าง
บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นางสาวบุษราภรณ์ จันทร์ชูเชิด รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย เปิดเผยว่า บมจ.ไซมิส แอสเสท ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 5.50 บาทต่อหุ้น โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 17-18 และ 21 ธันวาคม 2563 นี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 25 ธันวาคม 2563
ทั้งนี้ ปัจจุบัน SA มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 1,111,547,300 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 961,547,300 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 961,547,300 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหลักทรัพย์ไปใช้ในการลงทุนขยายกิจการ เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระเงินกู้จากสถาบันการเงินบางส่วนเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน
สำหรับการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนรายย่อยที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มนักลงทุนที่เข้าร่วมรับฟังแผนการดำเนินงานและเป้าหมายในอนาคตของบริษัทฯ เป็นจำนวนมาก โดย SA จะมุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลศักยภาพใจกลางเมืองและใกล้เส้นทางระบบขนส่งมวลชนต่างๆ และยังให้ความสำคัญกับการออกแบบและก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดี ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ของไซมิส แอสเสท สามารถครองใจกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนในระยะยาว
นางสาวยอดฤดี สันตติกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย เปิดเผยว่า SA เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่มีจุดแข็งแตกต่างจากคู่แข่ง โดยมีแนวคิดพัฒนาโครงการรูปแบบ ‘Branded Residence’ ซึ่งร่วมมือกับเเบรนด์โรงแรมชั้นนำที่มีมาตรฐานระดับโลก เข้ามาบริหารอาคารพักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายเสมือนพักอาศัยในโรงแรม ในราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้และตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ SA ยังมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต พร้อมทั้งมีทีมผู้บริหารและพนักงานที่บริหารงานอย่างมืออาชีพ สามารถควบคุมต้นทุนและคุณภาพงานก่อสร้างที่มีมาตรฐาน จากประสบการณ์ด้านการรับเหมาก่อสร้างมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี จึงมั่นใจว่าจะเป็นหุ้นอีกตัวที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด Asset of Life “สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต” เปิดเผยว่า การระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจและเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในอนาคต และกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจที่หลากหลาย เช่น Food & Beverage และ Wellness Center เป็นต้น โดยเบื้องต้นบริษัทฯ จะนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก โดยมีโครงการที่โดดเด่นได้แก่
1) โครงการ Blossom Condo @ Fashion 3 มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท บริเวณถนนรามอินทรา ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู ซึ่ง SA มีแผนพัฒนาเป็น Mixed-use Real Estate ประกอบด้วย โรงแรม ห้องชุดพักอาศัย ห้องชุดแบบมีบริการเพื่อให้เช่า พื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์และห้องประชุม 2) โครงการ Above 39 มูลค่าโครงการประมาณ 1,900 ล้านบาท โดยมีแผนปรับปรุง (Renovate) เพื่อเปิดให้บริการเป็นโรงแรมหรือห้องชุดให้เช่าแบบมีบริการระดับโรงแรมในอนาคต และ 3) พัฒนาโครงการบนทำเลวิภาวดีรังสิต ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวโครงการได้ในปี 2564
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแสวงหาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมมองโอกาสพัฒนาโครงการในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงวางแผนพัฒนาโครงการ ในต่างประเทศต่อไปในระยะยาว อย่างไรก็ตามบริษัทฯ อาจมีการปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ตามความเหมาะสม ตลอดจนจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) เพื่อเพิ่มความมั่นคงแก่ผลการดำเนินงานในระยะยาว