การเกษตร

แนะ 3 อ็อปชั่นเจรจาเมียนดันกาญจนบุรีสู่ฮับโลจิสติกส์เจาะเอเซียใต้-อาหรับ-แอฟริกา-ยุโรป

“อลงกรณ์”หนุนรัฐบาลเดินหน้าโครงการทวาย มั่นใจเริ่มวันนี้เพื่ออนาคตหลังยุคโควิด แนะ 3 อ็อปชั่นเจรจาเมียนมาร่วมไทยเปิดประตูตะวันตกดันกาญจนบุรีเป็นฮับโลจิสติกส์มุ่งตลาดเอเซียใต้-ตะวันออกกลาง-แอฟริกา-ยุโรป

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคกล่าวให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นคู่สัญญากลุ่มธุรกิจร่วมทุนภายใต้บริษัทจดทะเบียนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาถูกบอกเลิกสัญญาจากคณะกรรมการบริหารงานพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือ Dawai Special Economic Zone Management Committee :DSEZMC ว่า การยกเลิกสัญญาบริษัทอิตาเลียนไทยไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลเมียนมายกเลิกโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เพียงแต่เป็นการรีเซ็ตโครงการเท่านั้น

ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ เสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เจรจากับรัฐบาลเมียนมาเพื่อเดินหน้าโครงการทวายต่อไป และนายกฯ ได้มอบหมายนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เป็นผู้เจรจาเพราะเป็นผู้รู้ลึกถึงโครงการนี้ตั้งแต่โครงการเริ่มตั้งไข่

นายอลงกรณ์ กล่าวด้วยว่า สมัยที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาโลจิสติกส์การค้าและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้วางนโยบาย 3 วงแหวน 5 ประตู โดยในส่วนการเปิดประตูตะวันตกที่กาญจนบุรีได้เจรจากับรัฐบาลเมียนมาจนเปิดด่านสากลระหว่าง 2 ประเทศที่กาญจนบุรีได้สำเร็จ รวมทั้งเส้นทางโลจิสติกส์สู่ท่าเรือน้ำลึกทวายซึ่งรัฐบาลต่อๆ มาได้สานต่อการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เส้นทางบางใหญ่-กาญจนบุรี และถนนจากกาญจนบุรีถึงทวาย เพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ และท่าเรือน้ำลึกทวาย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของความเชื่อมโยงทาง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในภูมิภาค

“ช่วงระหว่างปี 2552-2554 ผมได้นำคณะไปสำรวจพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และเส้นทางเชื่อมกาญจนบุรีกับทวาย โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง ซึ่งตอนนั้นเป็นรองเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่วมคณะไปด้วยทุกครั้ง”

นายอลงกรณ์ กล่าวย้ำว่า โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและอาเซียนเพราะเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ฝั่งตะวันตกของไทย ซึ่งวางกาญจนบุรีเป็นประตูตะวันตกและโลจิสติกส์ฮับเชื่อมโยงแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) ระหว่างเมียนมา–ไทย–กัมพูชา–เวียดนาม สู่ตลาด 3 ทวีป คือ เอเซียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรวมทั้งการท่องเที่ยวก็ได้ประโยชน์อย่างมาก จึงต้องเร่งเจรจาเพื่อเดินหน้าโครงการนี้ต่อ เราต้องเริ่มวันนี้เพื่ออนาคตยุคหลังโควิด(Post COVID 19) และขอเสนอแนะแนวทางการเจรจา 3 ประการ เป็นกรอบและเป้าหมายระยะเร่งด่วนในช่วงรีเซ็ตโครงการกับรัฐบาลเมียนมา ดังนี้

  1. เร่งพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์ทั้งระบบถนน รางรถไฟ เครื่องบินและการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย เชื่อมโยงจีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา ไทยและพม่าสู่ตลาดเอเซียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป เนื่องจากได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมามากแล้ว
  2. เปิดกว้างการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของไทยลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรี และเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายภายใต้การพัฒนาร่วมระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก (Western Economic Corridor) กับระเบียงเศรษฐกิจใต้ของเมียนมา
  3. ดึงความร่วมมือจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง เวียดนาม ลาว และกัมพูชามาสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากโครงการนี้โดยเฉพาะด้านการขนส่งโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว

“การพัฒนาในช่วงรีเซ็ตโครงการโดยเร่งพัฒนาตามแนวทางดังกล่าวจะทำได้เร็วและเกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายโดยมีไทยและเมียนมาเป็นแกนนำการขับเคลื่อน ข้อเสนอนี้ยังสอดคล้องกับแผนแม่บทการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งของอาเซียน (ASEAN Connectivity) ซึ่งได้รับการผลักดันจากกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและ ญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเปิดเส้นทางการค้าและ ประตูเชื่อมเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกแห่งใหม่ตามแนว ระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub-region : GMS) โดยท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตกของ ภูมิภาค สร้างทางลัดโลจิสติกส์เชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนกับโลกตะวันออกและโลกตะวันตก” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button