เมืองไทยประกันชีวิต เปิดกลยุทธ์ “MTL Trusted Lifetime Partner”
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ท้าทายจากการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญแต่ก็ถือเป็นปีแห่งโอกาสจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้นรวมถึงการเกิดสถานการณ์ดังกล่าวยังเป็นส่วนช่วยเร่งผลักดันให้มีการปรับตัวเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสอดรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตวิถีใหม่(New Normal) นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมายังถือเป็นปีที่เมืองไทยประกันชีวิตได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างเหมาะสม
ในด้านผลการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2563 มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & CI) อยู่ที่ 21% มีสัดส่วนการขายแบบประกันชีวิตประเภทคุ้มครองชีวิตและประกันชีวิตควบการลงทุน (Protection and Investment Linked Product Portion) สูงถึง 76% ขณะเดียวกันมีผลงานจากช่องทางการขายผ่าน Online Sales เติบโต 120% เมื่อเทียบกับปี 2562 ในด้านความแข็งแกร่งและด้านเสถียรภาพทางด้านการเงิน เมืองไทยประกันชีวิต ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) จาก S&P Global Ratings อยู่ที่ระดับ BBB+ โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ และจากฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) อยู่ที่ ‘A-‘ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต มีเสถียรภาพ และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ที่ ‘AAA(tha)’ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุดแล้ว และยังมีความเพียงพอของเงินกองทุน อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนซึ่งอยู่ที่ 309% ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่ 120%
นายสาระ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 เมืองไทยประกันชีวิต มุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ ที่ลูกค้าให้ความวางใจ พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางการขายที่หลากหลาย ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุก Journey ในแบบที่มีความเฉพาะตัวของบุคคล (Personalization) มากยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม Digital และ Non-digital ที่สามารถเข้าถึงความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมยกระดับองค์กรสู่ความเป็นสากลและโดดเด่นด้วยภาพลักษณ์องค์กรที่มีความทันสมัยเป็นมืออาชีพที่สามารถดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานรวมทั้งการเดินหน้าการพัฒนาบุคลากรให้สามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มตัวพร้อมให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (Regional Company)
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านความคุ้มครองสุขภาพ บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการ “Super Health” ที่นำเสนอความคุ้มครองสุขภาพ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในทุก Segments เข้าถึงกลุ่มอายุที่หลากหลายอีกทั้งยังเลือกซื้อได้ตามไลฟ์สไตล์ ทั้งการดูแลแบบเหนือระดับแบบที่ดูแลค่าใช้จ่ายตั้งแต่บาทแรกหรือแบบที่ช่วยดูแลค่ารักษาส่วนเกินจากสวัสดิการเดิมที่มีอยู่ รวมไปถึงสามารถเลือกความคุ้มครองแบบผู้ป่วยนอก (OPD) แบบผู้ป่วยใน (IPD) หรือเลือกความคุ้มครองได้ทั้งสองแบบ อยากได้แบบไหนสามารถยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “โครงการ ดี คิดส์ (D Kids Campaign)” โดดเด่นด้วยความคุ้มครองที่คอยช่วยดูแลค่าใช้จ่ายส่วนเกิน ให้ความคุ้มครองค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (ไอ.ซี.ยู.) ค่าหมอ ค่ายา ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด ค่ารักษาพยาบาลกรณีแอดมิดเหมาจ่ายในวงเงินเดียวสูงสุดถึง 5 ล้านบาท(1) ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง คุ้มครองตั้งแต่วัยเด็ก เริ่มสมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน ดูแลกันยาวให้ความคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ช่วยให้หมดกังวลและยังช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในยามที่ลูกน้อยต้องเจ็บป่วย หรือไม่สบาย นอกจากนี้ยังได้ขยายอายุรับประกันภัยสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ เพื่อให้การดูแลแบบเหนือระดับ ครอบคลุมไปยังกลุ่มเด็กมากยิ่งขึ้น จากเดิมอายุรับประกันอยู่ที่ 18-80 ปี ขยายเป็นเริ่มรับประกันตั้งแต่อายุ 11-80 ปี พร้อมอุ่นใจได้ยาว คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี คุ้มครองสุขภาพทั้งโรคระบาด โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ แบบจ่ายตามจริง 20 – 100 ล้านบาทต่อปี สำหรับผู้เอาประกันภัยอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติม ค่าเตียงเสริมสำหรับพ่อหรือแม่สำหรับการมาเฝ้าไข้ลูก 5,000 บาท/วัน(2)
นายสาระ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำการตลาดแบบหลากหลายช่องทาง (Multi Distribution Channels) ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนประกันชีวิต ช่องทางธนาคาร ช่องทางโบรกเกอร์ รวมไปถึงการขายประกันออนไลน์ ที่เป็นแบบออนไลน์ทั้งระบบการขาย (Online E2E) หรือผสมผสานการขาย (Hybrid) นำกระบวนการขายแบบ Digital Face to Face หรือแบบ Face to Face เข้ามาอยู่ในกระบวนการขายที่ผสมผสานการเสนอขายผ่านช่องทาง Face to Face และ Digital Face to Face ด้วยมาตรฐานการเป็นตัวแทนประกันชีวิตที่มีความเป็นมืออาชีพ มุ่งสู่การเป็นผู้ออกแบบทางการเงิน (Life Planner) ที่สามารถออกแบบ ให้คำปรึกษา และวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมแก่ลูกค้าแต่ละราย และยังเตรียมพัฒนาระบบและเครื่องมือสนับสนุนการขายให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างครบถ้วนและส่งมอบบริการด้านการวางแผนการเงินที่ดี เหมาะสมกับลูกค้า ตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างครอบคลุมแบบ End to End Service ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการให้บริการด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
ในด้านบริการของเมืองไทยประกันชีวิต ยังคงเดินหน้าเติมเต็มการให้บริการที่เหนือระดับ (Beyond Insurance Service) ด้วยรูปแบบการบริการที่หลากหลาย ล่าสุดบริษัทฯ ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “MTL Click” บริการในรูปแบบ Digital Face to Face Service พร้อมเปิดให้บริการลูกค้าในรูปแบบ Video Call เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมกับบริษัทฯ ได้ทุกที่ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน สามารถพูดคุย หรือรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทำธุรกรรมได้แบบ Real Time อาทิ การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การชำระเบี้ยประกันภัยออนไลน์ บริการกู้ตามสิทธิกรมธรรม์ บริการต่ออายุกรมธรรม์ เปลี่ยนแปลงชื่อ-นามสกุล การสมัครรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ผ่านบัญชีธนาคารอัตโนมัติ และบริการอื่น ๆ เหมือนยกศูนย์บริการลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิตมาไว้บนมือถืออีกทั้งยังเพิ่มบริการสำหรับลูกค้าเมืองไทยยูนิตลิงค์ให้สามารถบริหารจัดการพอร์ตลงทุน พร้อมทั้งเปรียบเทียบการลงทุนของตนเองกับพอร์ตแนะนำของบริษัทฯ หรือสามารถซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม สับเปลี่ยนกองทุนได้ง่าย สะดวก มั่นใจ ให้สำเร็จทุกเป้าหมายทางการเงิน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นยกระดับทักษะและความรู้ของบุคลากรทุกระดับ ทั้งตัวแทน พนักงาน และผู้บริหาร สามารถปรับตัวและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในยุค Disruptive Technology โดยได้เปิดตัวแพลตฟอร์มการเรียนรู้ ภายใต้ชื่อ “LearnRU” (เลิร์นรู้) ที่จะสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทันสมัย รวดเร็ว และเข้าได้จากทุกที่ ตอบโจทย์การเรียนรู้ในแบบออนไลน์ ทั้งแบบออนไลน์สด (Live Streaming) หรือการสัมมนาแบบเสมือนจริง (Virtual Workshop) สามารถถาม-ตอบ แลกเปลี่ยนความรู้ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสามารถเข้าถึงคลังความรู้ที่หลากหลายทั้งแบบ Micro Learning และแบบ Online Content ได้แก่ VDO สื่อ Infographic E-book หรือ Podcast โดยเปรียบเสมือนห้องเรียนและคลังความรู้ในมือคุณ
“การดำเนินธุรกิจในปีนี้แม้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายแต่เรายังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการให้ครบในทุกด้าน เพื่อตอกย้ำนโยบาย MTL Trusted Lifetime Partner สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในทุกเพศทุกวัย พร้อมเชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแบบเฉพาะตัว มุ่งมั่นเติบโตและก้าวไปอย่างมั่นคงเคียงข้างไปกับลูกค้า รวมถึงเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ (Ecosystem Partner) ดูแลลูกค้าได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรของบริษัทฯ ที่สนับสนุนในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ได้แก่ Fuchsia Venture Capital และบริษัท AIgen (ไอเจ็น) จำกัด รวมถึง Gettgo ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้คือจุดยืนของบริษัทฯ ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ ในการส่งมอบการบริการและการขายที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้า เพื่อตอกย้ำการดูแลและอยู่เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงของชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้นและบรรลุผลสำเร็จให้ได้ “Make It Happen” ” นายสาระ กล่าว.