การเมือง

PTL ทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 45% ในไตรมาส 3

บมจ.โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ PTL ทำผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 ของรอบปีบัญชี 2563/2564 (ตุลาคม-ธันวาคม 2563) โดยมีกำไรสุทธิพุ่งสูง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้เติบโต 15% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ความสำเร็จในด้านผลประกอบการในไตรมาสนี้ มาจากความต้องการฟิล์ม PET ของ PTL เพื่อนำไปใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหารและไม่ใช่อาหารเพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยด้านสุขภาพและอนามัย รวมถึงการใช้งานในอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ ทำได้ 708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 3,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

PTL เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของ Polyplex Corporationซึ่งเป็นผู้ผลิตแผ่นฟิล์ม PET ชนิดบางรายใหญ่อันดับ 6 ของโลก และเป็นกลุ่มผู้ผลิตฟิล์ม PET ชนิดบาง รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากฐานการผลิตที่ทันสมัยในประเทศไทยและอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า พร้อมทั้งเป็นผู้ผลิตแผ่นฟิล์มมาตรฐานและแผ่นฟิล์มชนิดพิเศษที่มีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี และเป็นส่วนช่วยให้ PTL เติบโตอย่างยั่งยืน

โดยปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ มีฐานการผลิตแผ่นฟิล์ม PET และฟิล์มชนิดอื่นๆ  ในอินเดีย ตุรกี สหรัฐอเมริกา และอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมในสหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซีย

“อุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-7% จากความต้องการใช้แผ่นฟิล์ม PET ชนิดบาง ที่ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหาร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและอนามัย” นายอมิต ปรากาซ กรรมการผู้จัดการบมจ.โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ PTL กล่าว

การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้มีแรงเกื้อหนุนจากความตระหนักของผู้บริโภคทั่วโลก ในด้านสุขภาพและสุขอนามัยที่ดีขึ้น โดยคาดว่าอุปสงค์ของฟิล์ม PET ชนิดบางยังคงแข็งแกร่งในไตรมาสแรกของปี 2564 ตลอดไปถึงช่วงที่เหลือของปีนี้

เช่นเดียวกับกลุ่มฟิล์มชนิดหนาที่นำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม กำลังมีการฟื้นตัวในระยะปานกลาง และจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว จากปัจจัยการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า แม้บริษัทฯ จะมีการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าตลาดจะดูดซับอุปทานที่เติบโตได้ดี แต่อาจจะมีผลต่อการทำกำไรในระยะสั้นที่น้อยมากในช่วงที่เริ่มต้นสายการผลิตใหม่

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button