สนพ. คาดราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น หลังสหรัฐฯและยุโรปคลายล็อกดาวน์
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปมีสัญญาณการขยายตัวดีขึ้นส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ดัชนี PMI ของทั้งสหรัฐฯ และยุโรปอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าเกิดการขยายตัวในภาคการผลิตและบริการ ขานรับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการฉีดวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในวงกว้าง อย่างไรก็ตามความต้องการใช้น้ำมันยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงความรุนแรงในอินเดีย และในญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุง Tokyo, Kyoto, Osaka และ Hyogo โดยบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงวันหยุดเทศกาล Golden week ระหว่างวันที่ 25 เม.ย. – 11 พ.ค. 64
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันของประเทศไทยแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้าน หากพิจารณาจากโครงสร้างราคาน้ำมันอ้างอิงนั้น จะประกอบด้วย 1) ต้นทุนเนื้อน้ำมัน คือ ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งอ้างอิงราคาตามตลาดกลางภูมิภาคเอเชีย 2) ภาษีต่างๆ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศและบำรุงท้องถิ่น 3) กองทุนต่างๆ เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง: เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน: เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน 4) ค่าการตลาด คือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่ การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน