รุกคืบไฮสปีดเทรน”กรุงเทพฯ-เชียงใหม่”
การรถไฟฯ เผยความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ 1 ช่วง “กรุงเทพ-พิษณุโลก” ล่าสุดอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาและศึกษารูปแบบการดําเนินโครงการฯ ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป แม้ว่าญี่ปุ่นได้นําส่งรายงานศึกษาความเหมาะสมมาให้รัฐบาลไทยพิจารณาแล้ว ก็ตาม ยืนยันการดำเนินการได้พิจารณา ตามหลักเกณฑ์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 12%
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ (ระยะที่ 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก) ว่า ในปัจจุบันกระทรวงคมนาคมได้มีการแต่งตั้งคณะทํางานด้านเทคนิคขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ในการเจรจาและศึกษารูปแบบการดําเนินโครงการฯ ซึ่งทางญี่ปุ่นได้นําส่งรายงานศึกษาความเหมาะสมมาให้รัฐบาลไทยพิจารณาแล้ว แต่ทว่าการศึกษารายละเอียดยังไม่ข้อสรุปแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การรถไฟแห่งประเทศไทย ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการฯ ยืนยันว่า ตามลำดับขั้นตอนการเจรจาและศึกษารูปแบบการดําเนินโครงการฯ ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล โดยยึดประโยชน์ขององค์กรและของประเทศ รวมถึงยังดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในการพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย
“ผลการศึกษาประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก พบว่ามีผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจมากกว่า 12% ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกําหนดไว้ ดังนั้น โครงการฯ จึงมีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์”
นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ยังได้พิจารณาอย่างรอบคอบต่อประโยชน์ทั้งทางตรง ได้แก่ มูลค่าการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ยานพาหนะ มูลค่าการ ประหยัดเวลาในการเดินทาง มูลค่าจากการลดค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุ และมูลค่าการกําจัดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงประโยชน์ทางอ้อมที่เกิดขึ้น เช่น การกระตุ้นการพัฒนาพื้นที่ และการจ้างงานด้วย
นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม คณะทํางานด้านเทคนิคฯ ยังไม่ได้มีการพิจารณาประเด็นการใช้งบประมาณการลงทุนในโครงการนี้แต่อย่างใด เนื่องจากโครงการก่อสร้างทางรถไฟมีลักษณะเป็นบริการสาธารณะ ซึ่งโดยทั่วไปรัฐบาลจะรับภาระเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเช่นเดียวกับ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟไทย-จีน และโครงการระบบ รถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ดังนั้น ภาระหนี้จึงไม่ได้ปรากฏในงบการเงินของการรถไฟฯ อย่างไรก็ดี การรถไฟฯ พร้อมรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้านเพื่อใช้ประกอบการดําเนินโครงการลงทุน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐมีความคุ้มค่า และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด