พลังงาน

สนพ. เผย “ตาลิบันยึดอัฟกัน-โควิดเดลตา” ปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบ

สนพ. เผยราคาน้ำมันดิบทรงตัว จากโควิดสายพันธุ์เดลตายังระบาดในหลายประเทศ และกลุ่มติดอาวุธ “ตาลิบัน” บุกยึดกรุงคาบูล อัฟกานิสถานได้แล้ว ด้านราคาไบโอดีเซลเพิ่มเล็กน้อย และความต้องการใช้ในเอเซียดึงราคา Spot LNG ปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังวุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้านเหรียญ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในอินเดีย เดือนกรกฏาคม 2564 ปรับตัวสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

อีกทั้งจากสถานการณ์ความไม่สงบในอัฟกานิสถาน ล่าสุดกองกำลังติดอาวุธ Taliban สามารถบุกรุกเข้าสู่กรุง Kabul เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน และยึดทำเนียบประธานาธิบดีได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีแนวโน้มถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ที่ขยายวงกว้างทั่วโลก ส่งผลทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในบางประเทศปรับตัวลดลง โดยญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายจังหวัดครอบคลุมกว่า 70% ของประชากร ขณะที่จีนประกาศมาตรการจำกัดการเดินทางและยกเลิกเที่ยวบิน

สำหรับภาพรวมสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกช่วงวันที่ 9 – 15 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 69.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 68.31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.39 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 1.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งนักลงทุนวิตกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายประเทศ

ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 ความต้องการใช้น้ำมันยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดลดลงจากระดับ 2.3 ล้านบาร์เรล/วัน ไปอยู่ที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรล/วัน และยังคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นตามอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้น อีกทั้ง สหรัฐฯ เรียกร้องให้กลุ่มโอเปกพลัสผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในระยะยาว เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเพื่อควบคุมราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ กลุ่มผู้ผลิตจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 1 กันยายน 2564

ทางด้านราคากลางน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดภูมิภาคเอเชีย ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และ 91 (Non-Oxy) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 80.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 81.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 1.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 1.51 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล การส่งออกจากเอเชียเหนือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดยังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสิงคโปร์ที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.9 จากสัปดาห์ก่อนหน้า

 

ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (10 PPM) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 76.64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปทานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ในภูมิภาคชะลอตัวลงตามฤดูกาล นอกจากนี้ตลาดยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ที่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.29 บาท/เหรียญสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 33.5589 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ต้นทุนน้ำมันเบนซินลดลง 0.12 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลลดลง 0.23 บาท/ลิตร (ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.33 บาท/ลิตร) ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2564 กองทุนน้ำมันฯ มีสินทรัพย์รวม 48,573 ล้านบาท หนี้สินกองทุนฯ 34,332 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 14,241 ล้านบาท (บัญชีน้ำมัน 29,925 ล้านบาท และบัญชี LPG -15,684 ล้านบาท)

 

นายวัฒนพงษ์ กล่าวด้วยว่าจากการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ พบว่า ราคาน้ำมันไบโอดีเซล (B 100) อ้างอิงเฉลี่ย ระหว่างวันที่ 16 – 22 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ 39.19 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.46 บาทต่อลิตร จากสถานการณ์ราคาผลปาล์มน้ำมัน (ณ วันที่ 9-13 สิงหาคม 2564) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.20-7.30 บาทต่อกิโลกรัม ราคาน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 35.25 – 36.5 บาทต่อกก. ขณะนี้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 35.42 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตน้ำมันปาล์มของประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มอันดับ 2 ของโลกปรับตัวลดลง เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างชาติในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ในขณะที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันของไทยเริ่มน้อยลงโรงสกัดในประเทศยังมีการส่ง CPO ออกไปจำหน่าย ต่างประเทศ ทำให้ราคาขายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการซื้อน้ำมันปาล์มดิบของผู้ผลิต

 

นอกจากนี้ สนพ.ได้ติดตามสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว ในตลาดจร หรือ Spot LNG ช่วงระหว่างวันที่ 2 – 6 สิงหาคม 2564 พบว่าในสัปดาห์นี้เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 1.127 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านบีทียู อยู่ที่ระดับ 16.316 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านบีทียู จากผู้ซื้อรายใหญ่จากภูมิภาคเอเชียเหนือ มีความต้องการจัดหาเที่ยวเรือ Spot LNG เร่งด่วน (Prompt Spot cargo) จากความต้องการใช้ก๊าซในประเทศที่สูงขึ้น เช่น ประเทศจีนได้ออกประมูลจัดหาเที่ยวเรือ Spot LNG เร่งด่วนสำหรับส่งมอบเดือนสิงหาคม และผู้ซื้อจากประเทศเกาหลีใต้ได้ออกจัดหาเที่ยวเรือ Spot เช่นกันแต่เป็นสำหรับการส่งมอบในเดือนกันยายน เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัท Cheniere Energy ผู้ผลิตและส่งออก LNG รายใหญ่ของสหรัฐฯ เผยว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของตลาดในการลงนามในสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาว (LNG SPA) อีกครั้ง หลังจากเศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย Cheniere เองก็ได้ร่วมลงนามสัญญาซื้อขาย LNG SPA ในปีนี้ไปแล้วกว่า 12 ล้านตัน ซึ่งมีกำหนดส่งมอบในช่วงปี 2021 – 2032 ทั้งนี้ Cheniere ยังอยู่ระหว่างพัฒนาส่วนต่อขยายของโครงการ Corpus Christi LNG ในรูปแบบหน่วยการผลิตขนาดกลางอีก 7 หน่วย ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 10 ล้านตันต่อปี

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button