ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรียกร้องให้ดำเนินการเร่งด่วนเพื่อลดคาร์บอน ด้วยการเร่งสู่เส้นทาง Net Zero
โลกสามารถเร่งการดำเนินการด้านสภาพอากาศอย่างเร่งด่วนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 สอดคล้องตามคำกล่าวของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นองค์กรที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก ประจำปี 2564 โดย Corporate Knights ซึ่งในการเปิดตัวงาน Innovation Summit World Tour 2021 ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค
นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญที่สนับสนุนเส้นทางเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ตามที่กำหนดอยู่ในรายงาน “ความจำเป็น 2030: การแข่งขันกับเวลา” จากสถาบันวิจัยความยั่งยืนชไนเดอร์ อิเล็คทริค
Innovation Summit World Tour เป็นงานสำคัญประจำปีของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีขึ้นระหว่างวันที่ 12 ตุลาคม ถึง 12 พฤศจิกายน) เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกและเพื่อแนะแนวทางให้ลูกค้า คู่ค้า หน่วยงานที่กำกับดูแล รวมไปถึงผู้กำหนดนโยบายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดคาร์บอนในเศรษฐกิจโลกในทศวรรษนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมไปถึงการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Electricity 4.0 และ Next-generation automation
ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกำจัดคาร์บอนโดยเร็ว
คำกล่าวปราศัยช่วงเปิดงาน Innovation Summit World Tour ของนายฌอง มุ่งกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมงานใช้มาตรการสำคัญในการกำจัดคาร์บอน พร้อมนำเสนองานวิจัยของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นพิมพ์เขียวเพื่อเป็นแนวทางมุ่งสู้เป้าหมายในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส รายงานดังกล่าวได้ให้รายละเอียดถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-50 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงทศวรรษนี้ เทียบกับระดับปัจจุบัน หากพลาดจุดนี้ไปก็อาจจะเป็นไปได้ยากที่จะจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิให้อยู่ที่ระดับ 1.5°C ตามที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel for Climate Change หรือ IPCC) ได้กำหนดกรอบไว้
สถาบันวิจัยความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้นำเสนอแบบจำลองที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่สามารถลดคาร์บอน 10 กิกะตันต่อปี (10GtCO2/y) ได้จริงภายในปี 2030 รายงานดังกล่าว เน้นที่องค์ประกอบย่อยของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก จาก 50GtCO2e/y การจำลองสถานการณ์ “ความจำเป็นในปี 2030” พบโอกาสในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 30% (10GtCO2e/y) จากฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งหมดที่ 30GtCO2/y ซึ่งเป็นการเร่งลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อเร็วๆ นี้ (อยู่ในราว 3GtCO2e/y ที่คิดเป็น 10% ของเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษ) อย่างไรก็ตาม ยังมีการปล่อยก๊าซที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานประมาณ 20GtCO2e/ปี ซึ่งไม่ครอบคลุมในแบบจำลองของรายงานนี้
พร้อมกันนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เรียกร้องให้รัฐบาลและองค์กรต่างๆ พยายามมากขึ้น 3-5 เท่า ทางสถาบันเชื่อว่าทางเดียวที่จะทำให้เกิดความสำเร็จและเป็นจริงได้ คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาปรับใช้ควบคู่ไปกับการใช้พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการขจัดคาร์บอนในอาคาร การขนส่ง และอุตสาหกรรม แนวทางนี้นับเป็นการซื้อเวลาเพื่อจัดการกับภาคส่วนที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ค่อนข้างยาก โดยแบบจำลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทางเลือกอื่นจะสร้างภาระให้กับผู้บริโภคจำนวนมาก
“แม้จะมีแรงผลักดันเรื่องความยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่นำเป้าหมายที่ท้าทายมาช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ งานวิจัยชิ้นนี้เผยให้เห็นว่าเราต้องเร่งให้เร็วขึ้นอย่างไร ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราคือส่วนหนึ่งของโซลูชันที่แตกต่างอย่างโดดเด่น โดยในการสนับสนุนองค์กรต่างๆ ให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างรวดเร็วและปฏิบัติตามพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ เราได้เร่งขยายธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืนทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อความคืบหน้าอย่างมีนัยในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและเป้าหมายการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ” นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานและซีอีโอของชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “สิ่งที่องค์กรต้องการในวันนี้คือพันธมิตรที่เชื่อถือได้ ผู้ผสานรวมทั้งเรื่องการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการกำหนดเป้าหมายด้วยการติดตั้งโซลูชันที่ได้รับการพิสูจน์ในเรื่องของประสิทธิภาพมาแล้ว เพื่อมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม จากที่เราได้ประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามความท้าทายด้านความยั่งยืนมากมายด้วยตัวเอง และในการดำเนินการดังกล่าวจนประสบความสำเร็จด้วยการนำโซลูชันด้านระบบไฟฟ้าและดิจิทัลระดับโลกมาใช้ในโรงงานของเรา เราจึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะช่วยให้ผู้อื่นดำเนินการได้เร็วยิ่งขึ้นและไปได้ไกลขึ้น”
กลยุทธ์และโซลูชันเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่า
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้อาศัยฐานความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนและการยึดเป้าหมายของดัชนีด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์สำหรับปี 2564-2568 ด้วยการเร่งดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืนทั่วโลก พร้อมขยายบริการด้านพลังงานและความยั่งยืนโดยต่อยอดจากความสำเร็จในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลา 10 ปี
ปัจจุบัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือผู้นำระดับโลกด้านประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการพลังงาน การจัดหาพลังงานหมุนเวียน การออกรายงานเกี่ยวกับคาร์บอน การประเมินความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ และการลดการปล่อยคาร์บอนในซัพพลายเชน โดยให้บริการซอฟต์แวร์และบริการด้านคำปรึกษาแก่บริษัทใน Fortune 500 มากกว่า 30% ซึ่งลูกค้า ได้แก่ Johnson & Johnson, Walmart, Faurecia, Kellogg, Takeda, Velux Group, Unilever และ T-Mobile เป็นต้น
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้านบริการให้คำปรึกษาที่เป็น “เป้าหมายที่ท้าทาย + การดำเนินการ” ของชไนเดอร์ คือเหตุผลที่ขับเคลื่อนการขยายตัว ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่อไปนี้
- บริการให้คำปรึกษาในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และการลดคาร์บอนในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
- บริการด้านการสื่อสาร ซึ่งรวมถึงการรายงาน/การประเมินด้าน ESG และการเรียกร้องเกี่ยวกับความยั่งยืนและเรื่องของชื่อเสียง
- บริการเรื่องของการหมุนเวียนและการตรวจสอบย้อนกลับ
- โมดูล ESG สำหรับแพลตฟอร์ม EcoStruxure™ Resource Advisor ที่ได้รับรางวัลเพื่อใช้ในการติดตามมาตรการด้านสังคมและการกำกับดูแล
การเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนแปลงกระบวนการสู่ระบบดิจิทัล
หนึ่งในเป้าหมายที่ท้าทายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการผลักดันนวัตกรรมที่ให้ความยั่งยืน และสร้างเส้นทางไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ด้วยการช่วยให้ลูกค้าในหลายภาคส่วนคิดค้นนวัตกรรมและย้ายไปสู่ระบบเปิดที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างง่ายดายผ่านระบบดิจิทัล รวมถึงแนวทางที่ช่วยให้ทำธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดย ในงาน Innovation Summit World Tour ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการเปิดตัวนวัตกรรมดิจิทัล ที่ช่วยลดคาร์บอนภายในบ้าน ในอาคาร ในดาต้าเซ็นเตอร์ ในโครงข่ายพลังงาน และอุตสาหกรรมต่างๆ
- ไฟฟ้า 4.0: ขับเคลื่อนโลกไฟฟ้าใบใหม่ด้วยพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ
ในวันนี้ เรากำลังเห็นการหลอมรวมของดิจิทัลและไฟฟ้าด้วยซอฟต์แวร์ ไฟฟ้าทำให้พลังงานเป็นสีเขียวและเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการลดคาร์บอน ดิจิทัลทำให้พลังงานที่ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพและขจัดของเสียได้อย่างชาญฉลาด การหลอมรวมดังกล่าวทำให้เกิด ‘ไฟฟ้า 4.0’ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโลกไฟฟ้าใบใหม่
บ้านอัจฉริยะ ในวันนี้ ชไนเดอร์ได้เปิดตัวโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่ให้ความยั่งยืน ซึ่งรวมถึง Wiser ที่ช่วยจัดการกับพลังงานที่เสียไป โดยภายในปี 2050 คาดว่าภาคครัวเรือนจะเป็นภาคที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด และเป็นภาคที่มีส่วนในการปล่อยคาร์บอนในปริมาณสูงสุดเช่นกัน คาดว่าน่าจะสูงถึง 34% เลยทีเดียว
Resilient Digital Grids อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของชไนเดอร์ ที่มาแรง ด้วยเทคโนโลยีปลอดก๊าซ SF6 เพื่ออากาศบริสุทธิ์ สำหรับโครงข่ายพลังงานแบบ Net Zero ด้วย RM AirSeT Ring Main Unit และ Modular Switchgear รวมไปถึง MCSeT Active ซึ่งเป็นสวิตช์บอร์ดแรงดันไฟฟ้าปานกลางแบบใช้ฉนวนอากาศ
Smart Electrical Distribution ผลิตภัณฑ์ระบบดิจิทัล TeSys Giga ที่ปรับปรุงโฉมใหม่ ให้แรงดันไฟฟ้าต่ำ Canalis Busbar, PrismaSeT Active, New Gen ComPacT, TransferPacT และ EcoStruxure Power™ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะมอบประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายขึ้น ให้ความยั่งยืน และปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ติดตั้งและคู่ค้าด้านการบริการ ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตของโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมด้านคู่ค้า Partnerships of the Future
- อุตสาหกรรมแห่งอนาคต: ยืดหยุ่นและยั่งยืนด้วยระบบอัตโนมัติแห่งอนาคต
สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้น ในเรื่องประสิทธิภาพและความคล่องตัว ด้วยปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี digital twin รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่เป็น human insight ที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบวิเคราะห์ขั้นสูง และซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมที่ทำงานร่วมกันได้โดยไม่เลือกค่ายผู้จำหน่าย รวมถึงระบบอัจฉริยะด้านประสิทธิภาพจาก AVEVA
EcoStruxure™ Automation Expert 21.2 ให้การบริหารจัดการ life cycle ที่ครบวงจรสำหรับโรงงานน้ำและโรงงานบำบัดน้ำเสีย ด้วยระบบอัตโนมัติแรกของโลกที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นศูนย์กลางในการจัดการที่ผสานรวมบริการด้าน IT และ OT ได้อย่างลงตัว ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ยืดอายุการทำงานของระบบ และพัฒนาเพิ่มเติมต่อไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่ง EcoStruxure™ Automation Expert เป็นโซลูชันระบบอัตโนมัติที่ให้การบริหารจัดการได้ครอบคลุม สามารถใช้งานร่วมกับฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่เดิมได้ โดยอุปกรณ์ควบคุมแบบเวอร์ชวลสามารถทำงานบนอุปกรณ์เอดจ์คอมพิวติ้งใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Linux ก็ตาม ช่วยให้องค์กรด้านอุตสาหกรรมได้รับความยืดหยุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การประสานงานร่วมกันผ่านระบบดิจิทัลในลักษณะดังกล่าว ช่วยเพิ่มศักยภาพในการปลดล็อคคุณค่าที่คิดเป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับภาคอุตสาหกรรม
EcoStruxure Machine ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้ประกอบการด้านเครื่องจักรและลดเวลาในการพัฒนา ด้วย Lexium MC12 multi carrier ใหม่ ที่ช่วยดูแลเรื่องการขนส่ง การจัดกลุ่ม และการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งผู้ประกอบการ OEM สามารถบรรลุประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น รวมถึงให้ความยืดหยุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสูงสุดถึง 40% และช่วยให้การติดตั้งและทดสอบเครื่องจักรทำได้เร็วขึ้น 50% ซึ่งเมื่อผสานรวมเทคโนโลยี digital twin แล้ว Multi carrier ใหม่นี้ ยังช่วยลดการออกแบบเครื่องจักรและย่นเวลาในการออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น 30%