ร.ฟ.ท.-กรมศุลฯ ลงพื้นที่หนองคาย ร่วมบูรณาการด้านโลจิสติกส์เชื่อมจีน-ลาว
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร คณะผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารกรมศุลกากร ได้ร่วมประชุมวางแผนงานและบูรณาการแผนงานของทั้งสองหน่วยงานร่วมกัน เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าจีน – ลาว – ไทย จากรถไฟจีน – ลาว ผ่านสะพานมิตรภาพไทย – ลาว (หนองคาย-เวียงจันทน์)
ทั้งนี้ การรถไฟฯ ได้ประชุมและลงพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมกับอธิบดีกรมศุลกากรในการรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าด้วยระบบรางเชื่อมระหว่าง จีน – ลาว ซึ่งจะเริ่มให้บริการในวันที่ 2 ธันวาคม 2564 นี้
และได้ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องของจังหวัดหนองคายประกอบด้วย นายด่านศุลกากรหนองคาย แขวงทางหลวงหนองคาย กองบังคับการตำรวจภูธรหนองคาย และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ในการทดลองขบวนรถไฟขนส่งสินค้าความยาว 25 แคร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งข้ามแดนทางรถไฟ ช่วงหนองคาย-ท่านาแล้ง โดยในปี 2564-2565 มีการเพิ่มขบวนรถไฟขนส่งสินค้าจากเดิมวันละ 4 ขบวน (ไป – กลับ) เป็น 10 ขบวนไป-กลับ พ่วงขบวนละ 25 แคร่ ช่วงในปี 2566-2568 จะปรับเพิ่มขบวนรถขนส่งสินค้าเป็นวันละ 16 ขบวน (ไป – กลับ) พ่วงขบวนละ 25 แคร่ และตั้งปี 2569 เป็นต้นไป จะเพิ่มขบวนรถเป็น 24 ขบวน (ไป – กลับ) พ่วงขบวนละ 25 แคร่ ซึ่งไม่รวมขบวนรถโดยสารระหว่างประเทศที่เดิมปกติมีให้บริการวันละ 4 ขบวน (ไป – กลับ)
“การเปิดให้บริการขบวนรถไฟขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างไทย – ลาว จากสถานีหนองคายถึงลานตู้สินค้า ท่านาแล้ง สปป.ลาว จะเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกต่อการพัฒนาระบบขนส่งโลจิสติกส์ของทั้ง 2 ประเทศ
นายนิรุฒกล่าวเพิ่มเติมว่า การรถไฟฯ ยังมีแผนงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการพัฒนาพื้นที่ย่านสถานีหนองคาย และพื้นที่ CY หรือศูนย์รวบรวมและเปลี่ยนถ่ายสินค้าที่สถานีรถไฟนาทาเพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าทางรางในพื้นที่ ให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางรถไฟ จากท่าเรือ
แหลมฉบัง มายังสถานีหนองคายและต่อขยายถึงที่ลานตู้สินค้า ที่ท่านาแล้ง สปป.ลาว ได้โดยตรง เพื่อรองรับ
การเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในอนาคต
ทั้งนี้ แผนพัฒนาย่านสถานีหนองคาย จะมีการพัฒนาพื้นที่สถานีทั้งหมด 80 ไร่ รองรับการขนส่งผ่านสะพานเดิม และการเปลี่ยนถ่ายจากถนนสู่ระบบรางเชื่อมโยงภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นการช่วยเสริมศักยภาพระบบขนส่งในภูมิภาค สร้างงานสร้างอาชีพ ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น และสนับสนุนให้ไทย เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคตามนโยบายรัฐบาล”