“SCN” ปลื้มทำรายได้ Q3 ปี 64 กว่า 400 ล้านบาท ธุรกิจก๊าซ-รถยนต์โตเพิ่มขึ้น สวนกระโควิด-19 ระบาด พร้อมเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเมียนมาให้แล้วเสร็จตามกำหนด คาดเปิดเดินเครื่องและจำหน่าย COD ภายในปี 65 หนุนรายได้โตต่อเนื่อง
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 403.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้เชื้อเพลิงประเภทก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับอุตสาหกรรม (iCNG) มีมากขึ้น รวมถึงยอดการขนส่งก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับรายได้จากธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และซ่อมบำรุง มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตได้แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังคงระบาดต่อเนื่อง
ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น ยังคงมาจากรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดยมีรายได้ 258.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่ม 12% เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ทำให้รายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มตาม ในส่วนของรายได้จากธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และซ่อมบำรุงรถโดยสารปรับอากาศ มีรายได้อยู่ที่ 37.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 91.5% โดยมีรายได้จากสัญญาซ่อมบำรุงรถเมล์ NGV ที่ยังคงสามารถดำเนินงานได้เป็นอย่างดี รวมถึงการจำหน่ายอะไหล่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจยานยนต์ ซึ่งเริ่มดำเนินงานเมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา ทำให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 24.7 ล้านบาท ลดลง 19.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 44.7% เนื่องจากยอดขายชิ้นส่วนอะไหล่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานโซลาร์รูฟท็อปลดลง และมีรายได้ธุรกิจขนส่งและอื่นๆ อยู่ที่ 83.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 27.5% จากความสำเร็จการชนะการประมูลงานขนส่งก๊าซธรรมชาติ ทำให้ยอดขนส่งเพิ่มขึ้น รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจบริษัท สแกน ไอซีที จำกัด หรือ SCAN ICT ที่ให้บริการทางด้าน IT แบบครบวงจร
นอกจากนี้สำหรับอีกหนึ่งธุรกิจดาวเด่นของ SCN คือโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ เมืองมินบู ที่ยังสร้างรายได้ต่อเนื่อง ทำให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน 17.3 ล้านบาท บวกกับ การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอีกจำนวน 3.6 ล้านบาทจากการ COD เพิ่มเติมของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาผ่านบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ซึ่งมากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 100%
อย่างไรก็ดี หากหักผลกระทบจากค่าใช้จ่ายพิเศษ และผลกระทบตามมาตรฐานบัญชี TFRS 9 ในไตรมาสนี้ออกจะ จะทำให้บริษัทฯ สามารถบันทึกกำไรในไตรมาส 3 ของปี 2564 จำนวน 20 ล้านบาท แต่เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นจากการโอนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ iCNG ไปยังบริษัท เครือข่ายก๊าซ ไทย-ญี่ปุ่น จำกัด หรือ TJN จำนวน 8.3 ล้านบาท เพื่อจำหน่ายหุ้น 49% ของ TJN ให้กับบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นในนาม “Shizuoka Gas Company Limited (SZG)” ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) เพื่อร่วมขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติในระดับสากล โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินงาน ซึ่งหากแล้วเสร็จจะส่งผลให้บริษัทฯ มีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 313.1 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ ยังไม่สามารถบันทึกรายได้ในไตรมาสนี้ได้ ประกอบกับบริษัทฯ มียอดค้างชำระของลูกค้าบางส่วนซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ จำเป็นต้องบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามมาตรฐานบัญชี TFRS 9 จำนวน 8.8 ล้านบาท โดยหากมีการชำระหนี้กลับเข้ามา บริษัทฯ สามารถบันทึกเป็นรายได้ในภายหลัง จึงส่งผลให้ในไตรมาสนี้บริษัทฯ บักทึกกำไรสุทธิเพียง 2.9 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 77.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“สำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้นั้น ยังคงมาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นตาม ประกอบกับมีธุรกิจใหม่เกี่ยวกับธุรกิจจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ซึ่งเพิ่งเริ่มดำเนินการไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีการตอบรับที่ดี จึงสะท้อนให้เห็นถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ” ดร.ฤทธี กล่าว
ดร.ฤทธี กล่าวต่อว่า สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้นั้น ถึงแม้จะยังคงมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯ คาดว่าน่าจะรักษาระดับการเติบโตของรายได้ของบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับธุรกิจอื่นๆของบริษัทที่ยังคงสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น รวมถึงการรับรู้รายได้จากส่วนแบ่งกำไรในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ผ่านบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด หรือ SAP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ และจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ เมืองมินบู ประเทศเมียนมา โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นตามแผนและพร้อมจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในปี 2565