ปัญหาเดิมที่ยังรอคอยการแก้ไขคือเรื่องบุหรี่เถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะศูนย์กลางยังคงอยู่ที่ อ. หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และในจังหวัดรอบ ๆ เช่น สตูล พัทลุง และเริ่มลุลามเข้าสู่ภาคใต้ตอนบนเพราะเห็นว่าเป็นที่นิยมของผู้สูบบุหรี่ เนื่องจากเป็นบุหรี่ต่างประเทศที่มีราคาที่ถูกกว่ามาก โดยเฉพาะตั้งแต่ขึ้นภาษีบุหรี่เมื่อ 1 ตุลาคม 2564 บุหรี่ถูกกฎหมายขึ้นราคาจาก 60 บาท เป็น 65 – 70 บาท แต่บุหรี่เถื่อนยังราคาเดิม 25 – 35 บาท ทำให้ความรุนแรงของปัญหาเพิ่มทวีมากขึ้น กระทั่งขยายต่อไปยัง ตรัง ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นเส้นทางนำเข้า ลำเลียง และการกระจายบุหรี่เถื่อนอย่างดี
ข้อมูลจากผู้ประกอบการรายหนึ่งระบุว่า สงขลาเป็น 1 ในแดนสวรรค์ของจังหวัดในภาคใต้ที่มีการบริโภคและจำหน่ายบุหรี่ผิดกฎหมายมากที่สุดในประเทศโดยวัดจากซองบุหรี่ที่เก็บได้กว่า 84.5% เป็นซองบุหรี่ที่ไม่ได้เสียภาษี ตามด้วยจังหวัดโดยรอบ ได้แก่ สตูล 84.1% สุราษฎร์ธานี 57.7% พัทลุง 56.9% และนครศรีธรรมราช 46.9% ซึ่งบุหรี่ที่ไม่เสียภาษีส่วนใหญ่ในประเทศไทยพบว่ากว่า 77% มาจาก 5 จังหวัดภาคใต้ ตัวเลขบุหรี่ผิดกฎหมายทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเกือบ 70% จาก 6.2% ในเดือนตุลาคมของปี 2563 เป็น 10.3% ในเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มจำนวนที่สูงที่สุดของบุหรี่ผิดกฎหมายในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีการจับกุมขบวนการค้าบุหรี่เถื่อนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ อ. ตากใบ จ. นราธิวาส ที่สามารถจับบุหรี่เถื่อนหนีภาษีได้ล็อตใหญ่ 287 ลัง มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท และการจับกุมบุหรี่เถื่อนที่ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา ที่มีมูลค่าอีกกว่า 8 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดการเติบโตของบุหรี่เถื่อนได้ ร้านค้าผิดกฎหมายในตลาดหาดใหญ่ หรือในตัวเมืองสตูล ยังคงมีสินค้าขายอย่างต่อเนื่อง แม้จะโดนบุกเข้าจับยึดสินค้า แต่ก็สามารถกลับมาเปิดขายได้ตามปกติ จนตามมาด้วยข้อสงสัยของสังคมว่าบุหรี่เถื่อนของกลางที่ถูกจับกุมได้จำนวนมากไปอยู่ไหน ได้มีการทำลายทิ้งหรือไม่ หรือมีการแอบส่งคืนให้นายทุนรายใหญ่กลายเป็นการเวียนว่ายตายเกิดในวงจรการขายซ้ำ และที่สำคัญคือมีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นกับขบวนการบุหรี่เถื่อนด้วยหรือไม่ มีการทุจริตคอรัปชั่นเรียกรับผลประโยชน์จากร้าค้าที่ขายสินค้าผิดกฎหมายเหล่านี้หรือไม่ จึงทำให้พฤติการณ์กระทำผิดของแก๊งบุหรี่เถื่อนมีความอุกอาจ เหมือนไม่เกรงกลัวกฎหมายเช่นนี้
ล่าสุด คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ พิจารณารับคดีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์นำเข้าและจำหน่ายบุหรี่โดยหลบเลี่ยงภาษี ให้เป็นคดีพิเศษ เพื่อขยายผลดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิต เจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานฝ่ายปกครอง บุกเข้าค้นอาคารพาณิชย์และโกดังเก็บสินค้าผิดกฎหมาย จำนวน 3 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดสงขลา และตรวจยึดบุหรี่หนีภาษีได้กว่า 8.5 แสนซอง รวมถึงสินค้าหนีภาษีอื่นๆ อาทิ สุราต่างประเทศ ไพ่ รวมมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 560 ล้านบาท จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราจะได้เห็นความคืบหน้าในการติดตามผู้กระทำความผิดทั้งขบวนการมาดำเนินการตามกฎหมายเร็วที่สุด ต่อไป
แม้สาเหตุของบุหรี่เถื่อน บุหรี่ปลอม จะมาจากความต้องการสินค้าราคาถูก ซึ่งสวนกับความเป็นจริงที่ราคาบุหรี่ถูกปรับให้ขยับสูงขึ้นๆ ในทุกๆ 1-2 ปี แต่การจับกุมบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวม รวมไปถึงการเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้กระทำผิดกลายเป็นต้นตอของการทุจริต คอรัปชั่น ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การทำงานของรัฐบาล กระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายจับกุมที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ไปเรียบร้อยแล้ว
อาจเป็นเรื่องตลกร้ายของประเทศไทย ที่กำลังมองปัญหาเหล่านี้เป็นของธรรมดา เป็นเรื่องที่ไม่มีทางแก้ไขได้ จนต้องปล่อยให้ปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายในประเทศคาราคาซังไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งที่เรื่องดังกล่าวอาจเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติเพราะจากการติดตามข่าวสารการจับกุมพบว่ามีการขนส่งทางทะเลจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามเข้าสู่ประเทศไทยทางอ. ตากใบ จังหวัดนราธิวาส หรือจังหวัด ปัตตานี เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย แต่กลับไม่มีหน่วยงานรัฐใดให้ความสนใจแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง
แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ เศรษฐกิจของประเทศ เม็ดเงินภาษีที่กลับไปพัฒนาประเทศ แม้กระทั่งรายได้ของชาวไร่ยาสูบกว่า 30,000 ครอบครัว ร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าถูกกฎหมายกว่า 500,000 ราย ผู้ผลิตอย่างการยาสูบแห่งประเทศไทยและผู้นำเข้า กระทบไปจนถึงรายได้ของรัฐ ความสูญเสียมูลค่าเกือบ 7 พันล้านบาทต่อปี ทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีเพื่อมหาดไทย เงินบำรุงกองทุนต่างๆ รวมทั้งเงินที่จะเข้าสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เราคนไทย เจ้าหน้าที่รัฐ ประเทศไทยยังสามารถอยู่เฉยได้หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ปัญหาขยายวงไปทุกพื้นที่ เกิดเป็นหนังม้วนเดิมที่ทุกคนรู้ดีว่าการทุจริตคอรัปชั่นและการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้ไม่อาจหมดไปจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา
ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลต้องยกระดับการปราบปรามเรื่องสินค้าผิดกฎหมายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งบุหรี่ สุรา และสินค้าอื่น อย่างเข้มข้นและจริงใจมิใช่ทำแบบไฟไหม้ฟางอย่างที่ผ่านมาหากรัฐบาลจริงใจจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างแท้จริง รวมถึงประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งต้นทางและปลายทางเพื่อตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้แบบถอนรากถอนโคนเสียที เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลนี้เอาจริงกับปัญหาการทุจริต คอรัปชั่นที่เกี่ยวข้องการการลักลอบขนสินค้าเถื่อนที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนานในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย