ท่องเที่ยว

“CEA” หนุน 6 จังหวัดชิงเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก

CEA นำเสนอ 6 จังหวัด ชิงเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก เชียงราย น่าน นครปฐม สุพรรณบุรีพัทยา และ แพร่ ปูทางสู่ Magnet ใหม่ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียน กระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุนในท้องถิ่น เดินหน้า ปั้นย่านเศรษฐกิจต่อเนื่อง หลังพัฒนา 33 ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต้นแบบครบตามโรดแมป ปี 65

ดร.ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เปิดเผยว่า ในฐานะองค์กรเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน นำเสนอพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน นครปฐม สุพรรณบุรี เมืองพัทยา จ.ชลบุรี และ แพร่ เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก หรือ UNESCO Creative Network (UCCN) ในปี 2565 – 2566 โดย CEA ได้เข้าไปทำหน้าที่เตรียมความพร้อมด้วยการนำความคิดสร้างสรรค์ไปพัฒนาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ทั้งคนในพื้นที่และนอกพื้นที่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและรองรับให้บริการ จนสามารถเข้าสู่เกณฑ์การคัดเลือกตามมาตรฐานของยูเนสโก ซึ่งจะเป็นจุดหมายที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของเมืองสร้างสรรค์โลก (Destination) นำมาซึ่งการต่อยอดเศรษฐกิจท้องถิ่นเพื่อยกระดับรายได้และชีวิตชุมชน
โดยทั้ง 6 จังหวัดที่จะส่งให้ยูเนสโกคัดเลือก CEA เตรียมนำเสนอในสาขาที่น่าสนใจ และเหมาะสมกับอัตลักษณ์ของพื้นที่ ใน 4 สาขา ได้แก่ เมืองแห่งการออกแบบ (Design) เมืองด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Crafts and Folk Arts) เมืองแห่งดนตรี (Music) เมืองแห่งภาพยนตร์ (Film) โดยพื้นที่ที่นำเสนอจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีความโดนเด่นในเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ มีความหลากหลาย ทั้งศิลปประยุกต์ ศิลปะพื้นบ้าน มีมิติของการสร้างสรรค์ ที่สามารถเพิ่มคุณค่าและมูลค่า การผสมผสานวัฒนธรรมเก่า-ใหม่ โดยไม่ทำลายรากเหง้าวัฒนธรรมเดิม พร้อมทั้งเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน และต่อยอดกับสาขาอื่น ๆ ได้
ทั้งนี้ เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก มีทั้งหมด 7 สาขา ได้แก่ 1.วรรณคดี (Literature) 2.ด้านการออกแบบ (Design) 3.ภาพยนตร์ (Film) 4.ดนตรี (Music) 5.ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Crafts and Folk Arts) 6.สื่อศิลปะ (Media Arts) และ 7.อาหาร (Gastronomy) โดยคุณสมบัติสำคัญสำหรับเมืองที่จะได้รับพิจารณาให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก จะต้องเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมที่โดดเด่น แตกต่าง การขับเคลื่อนเมืองเน้นการสร้างรายได้และการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่าวน ตั้งแต่ภาครัฐ เอกชน การศึกษา วิชาชีพ และ ประชาชน เพื่อให้การพัฒนาเมืองไปไปอย่างยั่งยืน เหนือสิ่งอื่นใดเมืองที่จะได้รับการพิจารณาต้องมีความเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับผู้มาเยือน

“แต่ละพื้นที่อยู่ระหว่างนำเสนอชื่อเข้าสู่การคัดเลือก เพื่อให้ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นเมืองสร้างสรรค์เพิ่มเติม โดยมี 5 เมือง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไปแล้ว ได้แก่ จ.ภูเก็ต-ด้านอาหาร จ.เชียงใหม่-ด้านคราฟท์ กรุงเทพ-ด้านดีไซน์ จ.สุโขทัย-ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน และ จ.เพชรบุรี-ด้านอาหาร” นายชาคริตกล่าว

สำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ได้วางกลไกการพัฒนาใน 3 ระดับคือ ระดับย่าน ระดับเมือง และระดับโลก โดยเริ่มต้นจากระดับย่าน ซึ่งต้องเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ ชุมชนมีความพร้อมและเข้มแข็ง โดยอาศัยทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เข้าสู่กระบวนการค้นหา และดึงความน่าสนใจเพื่อสร้างเป็นจุดขาย พร้อมขยายเครือข่ายและพัฒนาร่วมกัน โดยนำความคิดสร้างสรรค์มาออกแบบเป็น “ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ไปจนถึงการพัฒนาระดับเมือง เพื่อเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สู่การขับเคลื่อนจังหวัดต่าง ๆ ให้กลายเป็น “เมืองสร้างสรรค์” ในเวทีโลกต่อไป

ปัจจุบัน CEA มีเป้าหมายพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผ่านเครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย (Thailand Creative District Network : TCDN) ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ใน 3 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพ เชียงใหม่ และขอนแก่น ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานคัดเลือกตามเงื่อนไขการพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งได้วางเป้าหมายการพัฒนาตามโรดแมปไว้ จำนวน 33 แห่ง ภายในปี 2565-2566 เพื่อเป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต้นแบบ ที่จะสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อการพัฒนาเครือข่ายในระดับประเทศ โดย CEA เริ่มโครงการขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ ตั้งแต่ปี 2563-2565

ดร.ชาคริต กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนย่านและเมืองสร้างสรรค์ จะดำเนินภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ได้แก่ 1.กลยุทธ์และแนวทางพัฒนา 2.ความรู้และทักษะ 3.การประชาสัมพันธ์ 4.การสร้างเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนและสร้างโอกาสการเข้าถึงการสนับสนุนของหน่วยงาน และ 5.ด้านนโยบายสร้างสรรค์ คือ การเปิดโอกาสและเข้าถึงสิทธิพิเศษในเชิงธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของย่าน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียม Soft Power เพื่อสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังการฟื้นตัวจาก
โควิด-19 ให้มากขึ้น ทำให้เกิดการหมุนเวียน เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตขึ้น

ด้านคุณมนฑิณี ยงวิกุล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่า จากความสำเร็จที่พัฒนาไปแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา 33 พื้นที่ โดยใน 3 พื้นที่ กรุงเทพ เชียงใหม่ และ ขอนแก่น มีความพร้อมที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ สามารถดำเนินการพัฒนาได้ทันที ส่วนอีก 30 พื้นที่เป็นการเปิดรับสมัคร และได้รับการคัดเลือกจากความน่าสนใจ และการมีส่วนร่วมในผลักดันของชุมชนในพื้นที่ที่ผ่านการสำรวจศักยภาพ ความพร้อมด้านแนวคิดการพัฒนา ซึ่งเป็นกระบวนการทดสอบสำคัญมากเป็นการทดสอบให้คนมามีส่วนร่วม เพื่อให้ได้ข้อมูลการตอบรับที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง จนมาถึงรูปแบบการพัฒนา ที่ผ่านการวัดผล ซึ่งมีตัวอย่างที่เป็นเคสที่สำคัญที่ประสบความสำเร็จ คือ จังหวัดสกลนคร ผ่าน “กลุ่มสกลเฮ็ด” และ การจัดงาน “สกลจังซั่น” เป็นต้น

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button