ครึ่งปี 65 ไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ภาคพลังงาน พุ่ง 6.7% แต่ภาคการผลิตไฟฟ้าลดลง
สนพ. เผยครึ่งปี 65 ไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภาคพลังงาน เพิ่มขึ้น 6.7% แต่ภาคการผลิตไฟฟ้าลดลง ชี้ปัจจัยจากเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงาน 6 เดือนแรกของปี 2565 พบว่า เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ของภาครัฐ ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นในทุกประเภทพลังงาน ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบดัชนีการปล่อยก๊าซ CO2 ภาคพลังงานของประเทศไทยกับต่างประเทศพบว่า ประเทศไทยมีอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงาน และอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยการผลิตไฟฟ้า (kWh) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมประเทศจีน) และประเทศจีน
นายวัฒนพงษ์ กล่าวว่า การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน 6 เดือนแรกของปี2565 อยู่ที่ 131.8 ล้านตัน CO2 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ในขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้าลดลง สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานของประเทศในช่วงอดีตที่ผ่านมานั้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่หลังภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจาก 145.5 ล้านตัน CO2 ในปี 2541 เป็น 263.4 ล้านตัน CO2 ในปี 2561 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.0 ต่อปี สอดคล้องกับการใช้พลังงานของประเทศที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.7 ต่อปี ส่วนปี 2562 การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานอยู่ที่ 257.4 ล้านตัน CO2 ซึ่งลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มมากขึ้นตามนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนของรัฐบาล จึงท่าให้การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานลดลงแม้ว่าจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานอยู่ที่ 244.0 ล้านตัน CO2 ซึ่งลดลงร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19
นายวัฒนพงษ์ กล่าวว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 2/2565 ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทย ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 2.5 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว ร้อยละ 2.3 ทั้งนี้เป็นผลกระทบจากส่งออกบริการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 54.3 เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชน และการอุปโภคภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งภาคการผลิตที่ขยายตัวได้ดี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้นส่งผลต่อการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน ดังนี้ ภาคการขนส่ง มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 ร้อยละ 30 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ภาคอุตสาหกรรม มีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.9 อยู่ที่ร้อยละ 63.8 ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 ร้อยละ 5 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.1 ในขณะที่ ภาคการผลิตไฟฟ้า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 สูงสุด คือ ร้อยละ 32 ของการปล่อยก๊าซ CO2 ทั้งหมด มีการปล่อยก๊าซ CO2 ลดลงร้อยละ 5.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายชนิดเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงหลักที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์ โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 พบว่า น้ำมันสำเร็จรูปมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 สูงที่สุด คือ ร้อยละ 40 รองลงมา คือ ถ่านหิน/ลิกไนต์ ร้อยละ 31 และก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 29 ทั้งนี้ น้ำมันสำเร็จรูป มีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.1 ถ่านหิน/ลิกไนต์ มีการปล่อยมีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติมีการปล่อยก๊าซ CO2 ลดลงร้อยละ 3.6
นายวัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานของประเทศไทยกับต่างประเทศแล้วจะพบว่า ประเทศไทยนั้นมีอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ที่ระดับเฉลี่ย 2.06 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมประเทศจีน) ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศจีน รวมทั้งค่าเฉลี่ยของโลกการที่ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานก็ค่อนข้างต่ำเช่นกัน เนื่องมาจากปรเทศไทยมีนโยบายด้านพลังงานที่คำนิงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2022) ซึ่งแผนดังกล่าวมีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกมากขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศตามหลักเกณฑ์ของ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC)