“เบทาโกร” เสนอขายหุ้น IPO ขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจได้ร่วมเป็นเจ้าของและเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนไปกับเบทาโกร ในฐานะบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากลที่มีโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร และเป็นผู้นำในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารระดับสูง ก้าวสู่การเป็น World-Class Food & Agro Total Solutions Provider พร้อมกำหนดราคาเสนอขายที่ 40.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวมไม่เกิน 20,000 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) นับเป็น IPO ของหุ้นในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทยเท่าที่เคยมีมา และยังมีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ พร้อมกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลก โดยมีนักลงทุนสถาบันคุณภาพที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จำนวนรวม 25 ราย ลงนามในสัญญาลงทุนในหุ้น BTG เพื่อเป็น Cornerstone Investors คิดเป็นประมาณ 77.1% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันในเบื้องต้น (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) พร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์สามารถจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 10 – 12 และ 17 ตุลาคม 2565 นี้ และคาดว่าหุ้น BTG จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนนี้
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 55 ปี เบทาโกรมุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพที่ดีกว่าและมีความปลอดภัยที่สูงกว่าในราคาที่เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีคุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น โดยเบทาโกรเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล (World-Class Branded Food Company) ที่ประกอบธุรกิจแบบครบวงจรครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ มีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมเกษตร ตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ ขยายไปสู่การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และปลา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและส่งออกไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเบทาโกรมีแบรนด์ที่หลากหลายและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป และไส้กรอก เช่น แบรนด์ S Pure, แบรนด์ Betagro และ แบรนด์ ITOHAM และแบรนด์อาหารสัตว์อย่าง แบรนด์ Perfecta, แบรนด์ DOG n joy และแบรนด์ CAT n joy ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนเป็นผู้นำและให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารระดับสูงตามมาตรฐานสากล ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนองค์กรด้วยระบบฐานข้อมูลเพื่อสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุม ทั้งช่องทางของเบทาโกรที่ครอบคลุมกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565) และเครือข่ายพันธมิตรอันแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เบทาโกรยังให้ความสำคัญกับกระบวนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นรูปแบบธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนเป็นเจ้าของสินทรัพย์ (Asset-light investment model) แต่ใช้เครือข่ายของเกษตรกรแบบพันธสัญญา (Contract Farming) และให้การสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบผ่านกลยุทธ์ Agro Total Solution พร้อมพัฒนาประสิทธิภาพทีมงานและบุคลากรตลอดห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการบริหารจัดการโดยคณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และมากด้วยประสบการณ์จากองค์กรชั้นนำระดับโลกที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)
ในส่วนของกลยุทธ์การสร้างการเติบโตในอนาคต เบทาโกรมีแผนสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ด้วยแผนการขยายกำลังการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า การสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการจัดจำหน่ายโดยเฉพาะช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีมูลค่าสูง การมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น สำหรับศักยภาพการเติบโตในตลาดต่างประเทศ เบทาโกรมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศกัมพูชาและลาว การลงทุนในฟาร์มและโรงงานในประเทศเมียนมา การเพิ่มจุดหมายการส่งออกและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ เช่น ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง เป็นต้น ตลอดจนมุ่งแสวงหาและต่อยอดโอกาสการเติบโตใหม่ (New S-Curve) ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจโปรตีนทางเลือกจากพืชภายใต้แบรนด์ Meatly! และธุรกิจบริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ Kerry Cool ซึ่งเป็นการร่วมค้ากับบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
“ผมและทีมผู้บริหารของเบทาโกรมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เบทาโกรมีความแตกต่างและโดดเด่นจากบริษัทจดทะเบียนรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน พร้อมด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อส่งมอบชีวิตที่ยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โดยในเวลานี้นับได้ว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเบทาโกรที่จะก้าวสู่การเติบโตครั้งสำคัญผ่านการเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้น BTG เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมทั้งยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลก” นายวสิษฐ กล่าวเสริม
นางศิริวรรณ อินทรกำธรชัย ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานบริหารการเงิน บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เบทาโกรสามารถสร้างการเติบโตของรายได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7.3% ต่อปี โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เบทาโกรมีรายได้รวม 54,193.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีรายได้ส่วนใหญ่จากกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 68% ของรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ ส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจเกษตร กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 25%, 5% และ 2% ของรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการตามลำดับ และสามารถสร้างกำไรสุทธิ 3,892.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.2% โดยเบทาโกรมีกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดคิดเป็น 233.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตจากทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน มีความโดดเด่นอย่างมากจากการเพิ่มขึ้นของทั้งราคาและปริมาณการขาย ตามกลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้มากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป เป็นต้น 2) กลุ่มธุรกิจเกษตร ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ Agro Total Solution และการเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ตามการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบหลัก 3) กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ เติบโตขึ้นตามราคาขายอาหารสัตว์และราคาขายสัตว์ที่มีชีวิตในกัมพูชาและลาวที่สูงขึ้นตามราคาตลาด 4) กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งราคาและปริมาณการขายอาหารสัตว์เลี้ยง สอดคล้องกับกลยุทธ์ของเบทาโกร ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์และช่องทางจัดจำหน่ายที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ เบทาโกรวางแผนที่จะเงินไปลงทุนเพื่อการเข้าซื้อ และ/หรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ประมาณ 8,000 ล้านบาท การปรับโครงสร้างเงินทุนผ่านการชำระหนี้สินระยะสั้นและ/หรือระยะยาวให้แก่สถาบันการเงินประมาณ 8,960 – 10,500 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงาน ไม่เกิน 1,021 ล้านบาท
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายวานิชธนกิจและตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวถึงความคืบหน้าแผนการเสนอขายหุ้น IPO และการนำหุ้น BTG เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ว่า “ในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา คณะผู้บริหารของเบทาโกรได้พบปะกับนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศเพื่อนำเสนอข้อมูลบริษัท โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดี แม้อยู่ในสภาวการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความผันผวนสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะมีโอกาสได้รับผลกระทบในเชิงบวก โดยได้กำหนดราคาเสนอขายที่ 40.00 บาทต่อหุ้น พร้อมมีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเข้าลงนามในสัญญาลงทุนในหุ้น BTG เพื่อเป็น Cornerstone Investors ทั้งหมด 25 ราย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7,286 ล้านบาท หรือคิดเป็น 77.1% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันทั่วโลกในเบื้องต้น (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) การตกลงลงทุนก่อนของนักลงทุนประเภท Cornerstone Investors ดังกล่าว สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเบทาโกรในฐานะบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากลที่มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง ผ่านกระบวนการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และศักยภาพในการสร้างเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อว่า BTG จะเป็นหุ้นคุณภาพที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งตัวสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดทุนไทย”
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า “การระดมทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของเบทาโกรที่จะสร้างโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เนื่องจากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และมีความพร้อมขยายธุรกิจในทุกๆ ด้าน เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในอนาคต โดยการเสนอขายหุ้นสามัญของ BTG ในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์สามารถจองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 10 – 12 และ 17 ตุลาคมนี้ โดยปัจจุบันแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวน (แบบไฟลิ่ง) ได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. และได้มีผลบังคับเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา”
ในการเสนอขายหุ้นสามัญของ BTG ในครั้งนี้ มีจำนวนไม่เกิน 500.0 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ประกอบไปด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 434,800,000 หุ้น หรือไม่เกิน 21.7% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO บนสมมติฐานว่ามีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินเต็มจำนวน และอาจพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Overallotment Option) จำนวนไม่เกิน 65,200,000 หุ้น หรือคิดเป็น 15.0% ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายตั้งต้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ในการรักษาระดับราคาหุ้น (Stabilization) ในช่วง 30 วันแรกหลังจากที่หุ้น BTG เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย รวมทั้งมีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 ราย ประกอบด้วย (1) บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (2) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (3) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (4) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (5) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ (6) บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด โดยบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินและดำเนินการรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้น (Overallotment and Stabilizing Agent)