คมนาคม

วันคล้ายวันก่อตั้งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย “50 ปี แห่งผู้นำนวัตกรรมทางพิเศษ” เปิดให้บริการทางพิเศษ รวม 225 กิโลเมตร

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีงานวันคล้ายวันก่อตั้งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย “50 ปี แห่งผู้นำนวัตกรรมทางพิเศษ” เปิดให้บริการรวม ทางพิเศษ 225 กิโลเมตร

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีงานวันคล้ายวันก่อตั้งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ครบรอบ 50 ปี พร้อมด้วย นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และประธานกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย นางสาวรัชนีพร ธิติทรัพย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมี นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ณ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายและบริการด้านคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทุกมิติการเดินทาง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องประชาชน กระทรวงคมนาคมได้รับนโยบายดังกล่าวมาขับเคลื่อนเพื่อนำพาประเทศไทยสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน โดยได้มอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แก้ไขปัญหาการจราจรในภาพรวม ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีรถจำนวนกว่า 1.8 ล้านคันต่อวัน ใช้บริการผ่านโครงข่ายทางพิเศษที่เปิดให้บริการรวม 225 กิโลเมตร สำหรับในวันนี้ กทพ. ได้เติบโตอย่างเข้มแข็งมาจนครบ 50 ปีเต็ม เกิดจากความมุ่งมั่น ทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างของ กทพ.

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กทพ. ได้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาให้บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติด้วยบัตร Easy Pass การพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบจราจรอัจฉริยะ (ITS Center) การพัฒนาระบบ e-Service การจัดตั้งศูนย์บริหารการจราจรทางพิเศษ (Expressway Traffic Management Center) และในอนาคตอันใกล้นี้จะเปิดให้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น หรือ M-Flow ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยบูรณาการร่วมกับกรมทางหลวงให้เป็นไปในรูปแบบและมาตรฐานเดียวกัน จำนวน 3 ด่านแรกก่อน คือ ด่านจตุโชติ ด่านสุขาภิบาล 5-1 และด่านสุขาภิบาล 5-2 รวมถึงการขยายโครงข่ายทางพิเศษสายใหม่ คือ ทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ทางพิเศษ สายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี รวมถึงโครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งถือเป็นโครงการทางพิเศษสายแรกในภูมิภาค นับเป็นการเปิดมิติใหม่ในการแก้ไขปัญหาจราจรที่ไม่ยึดติดเฉพาะ ในเมืองหลวงและปริมณฑล นอกจากนี้ กทพ. ยังได้ดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การมอบพื้นที่ใต้ทางพิเศษเพื่อสาธารณประโยชน์ การมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่อยู่ในชุมชนและโรงเรียนรอบเขตทางพิเศษ ตลอดจนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดต่างๆ อีกด้วย

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ กทพ. ซึ่งตั้งขึ้นจากการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการจัดตั้งกับสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) เพื่อบอกเล่าประวัติของ กทพ. จากอดีตสู่อนาคต รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์แก่บุคคลภายนอกเกี่ยวกับการก่อสร้าง และบริหารจัดการทางพิเศษ บอกเล่าเรื่องราวของ กทพ. ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ส่งผ่านเรื่องราว บนพื้นที่จัดแสดงจำนวน 4 โซน ซึ่งมีความประทับใจที่ซ่อนอยู่มากมาย เช่น การจำลองบรรยากาศบนยอดสะพานขึงของสะพานพระราม 9 และการเรียนรู้เบื้องหลังการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บนทางพิเศษ เป็นต้น

 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายเพิ่มเติมให้ กทพ. ดังนี้
1. กทพ. ต้องสร้างความท้าทายในการทำงานโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ
2. การแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยนำไปสู่การปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพโดยเร็ว
3. การดำเนินโครงการต่างๆ ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย โดยทำความเข้าใจต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของโครงการให้ชัดเจน เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น
4. การดำเนินงานต่างๆ ต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ภายใต้ข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button