กกพ. แย้มปี 2566 แนวโน้มการผลิตก๊าซในอ่าวไทยมีสัญญาณเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อการนำเข้า Spot LNG น้อยลง ลุ้นค่าไฟลดลงตามไปด้วย แต่ข่าวร้ายผู้ใช้ไฟยังมีภาระใช้หนี้คืน กฟผ. คาดสิ้นปี 65 แบกรับภาระค่า Ft เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 แสนล้านบาท นำไปเฉลี่ยเป็นค่าไฟในงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566
หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ได้มีมติให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 สำหรับผู้ใช้ไฟประเภทอื่นๆ ประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรม การค้า เกษตร การบริการทั้งหมด ทั้งกิจการขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ โรงแรม กิจการที่ไม่แสวงหากำไร สูบน้ำเพื่อเกษตร ไฟฟ้าชั่วคราว (ระหว่างการก่อสร้าง) อยู่ที่ 190.44 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟเฉลี่ยสำหรับผู้ใช้ไฟประเภทอื่นมีการปรับค่าไฟขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ส่วนการปรับค่า Ft สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 93.34 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่อยู่อาศัยค่าไฟยังอยู่ในระดับเท่าเดิมในอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งการคำนวณค่า Ft วิธีดังกล่าวจะมีการเฉลี่ยเงินคืน กฟผ. ที่มียอดเงินค้างค่า Ft กฟผ. จำนวน 122,257 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 2 ปีนั้น
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าไฟในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอยู่ที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นหลัก ซึ่งเบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีทิศทางที่ดีจากแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณจะกลับมาผลิตก๊าซได้เพิ่มขึ้น หลังจากผ่านจุดต่ำสุดที่ผลิตก๊าซได้น้อยที่สุดมาแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการนำก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้ามีสัดส่วนอยู่ที่ 45% นำเข้า Spot LNG อยู่ที่ 18% นำเข้าก๊าซ LNG ระยะยาว 20% และก๊าซจากพม่า 17% ถ้าหากสามารถผลิตก๊าซในอ่าวไทยมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ยอดการนำเข้า Spot LNG ลดลง ซึ่งจะส่งให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมามีการนำเข้า Spot LNG ในราคาสูง ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องแบกรับภาระค่า Ft เพิ่มขึ้นจากเดิม 1.2 แสนล้าน เป็น 1.5 แสนล้าน ซึ่งค่า Ft ที่เพิ่มขึ้นจะไปบวกอยู่ในค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 ต่อไป
“การคำนวณค่าไฟงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 มีการนำค่า Ft ที่ยังค้างจ่ายคืนให้ กฟผ.มาบวกอยู่ที่เฉลี่ย 0.33 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นเงิน 2 หมื่นล้านบาทต่องวด จากยอดหนี้สิ้นสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 จำนวน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งจะจ่ายคืนทั้งหมดภายใน 2 ปี”
