“โรงพยาบาลจุฬาภรณ์” เตือนโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ชี้ผู้หญิงปวดท้องน้อยต้องระวัง ! พร้อมรณรงค์สร้างการตระหนักรู้และดูแลสุขภาพ
วันนี้ (23 พ.ค.66) ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และโรงเรียนนักอัลตราซาวด์ทางการแพทย์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ จัดแคมเปญร่วมส่งสารรณรงค์สร้างความตระหนักรู้แก่สตรีไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพภายใต้แนวคิด “ปวดท้องน้อย” พูดสิ พูดได้ สัญญาณเตือนที่ต้องระวังโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนแห่งการรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงอาการ “ปวดท้องน้อย” MAY is Pelvic Pain Awareness Month
โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ณัฐวุฒิ กันตถาวร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยานรีเวช หัวหน้าศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และแพทย์หญิงกตัญญุตา นาคปลัด แพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ร่วมงานประชาชนและบุคลากร โรงพยาบาลเจ้าร่วมงานจำนวนมาก โดยเปิดโอกาสให้สตรีที่มีอาการปวดท้องน้อยที่ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 40 ท่าน ได้รับบริการประเมินอาการตรวจคัดกรองความเสี่ยงด้วยวิธีอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนล่างจากทีมบุคลากรของโรงเรียนนักอัลตราซาวด์ทางการแพทย์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ นำทีมโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเชษฎ์ สิริพงษ์สกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนนักอัลตราซาวด์ทางการแพทย์ พร้อมรับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยกิจกรรมจัดขึ้น ณ ชั้น 1 โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ 400 เตียง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และถ่ายทอดสดผ่านทางช่อง Youtube CRA CHULABHORN Channel และ Facebook โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
ทั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ณัฐวุฒิ กันตถาวร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยานรีเวช หัวหน้าศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่สองแล้วที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ออกมากระตุ้นเตือนสตรีไทยเพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของอาการปวดท้องน้อยแล้วอย่าปล่อยผ่าน ซึ่งแนะนำควรรีบเข้ามาปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ควรเก็บอาการปวดท้องน้อยที่เกิดขึ้นเงียบไว้คนเดียวครับ เพราะการปวดท้องน้อยในกลุ่มผู้หญิง อาจจะไม่ใช่เรื่องปกติอย่างที่เราคิด แต่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งเป็นโรคที่ผู้หญิงหลายคนมักมองข้าม และอาการปวดท้องน้อย ก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งสัญญาณเตือนให้ได้ระวังจากภัยร้ายที่อาจแสดงออกมาในรูปแบบของโรคร้ายชนิดอื่น ๆ ได้ด้วยครับ ผู้หญิงหลายคนมักมองข้าม ยิ่งในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน ก็อาจจะคิดว่าการปวดท้องน้อยเป็นเรื่องปกติ ซึ่งความจริงอาจเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างก็ได้ ฉะนั้นการปวดท้องน้อยควรเป็นอาการที่ไม่ควรปล่อยผ่านอีกต่อไปครับ กิจกรรมรณรงค์นี้เราก็อยากเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญในการเป็นผู้รณรงค์ให้สาว ๆ ทุกคนตระหนัก และใส่ใจในโรคชนิดนี้ และโรคอื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ให้มากขึ้นครับ
สำหรับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดนั้น คือ ภาวะที่มีการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกไปนอกโพรงมดลูก โดยอาจแทรกตัวอยู่ในผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ ผนังลำไส้ และผนังกระเพาะปัสสาวะ หรือบางครั้งอาจกระจายไปสู่อวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด เมื่อเยื่อบุเหล่านี้ไปเจริญเติบโตอยู่ผิดที่ ทำให้มีเลือดสีแดงคล้ำหรือสีดำข้นคล้ายช็อกโกแลตขังอยู่ตามอวัยวะดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการผิดปกติต่าง ๆ โดยเฉพาะอาการปวดท้องน้อยที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคนี้ ตำแหน่งที่พบบ่อยส่วนใหญ่มักพบบริเวณอุ้งเชิงกราน ได้แก่ รังไข่ ท่อนำไข่ เยื่อบุช่องท้องทางด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้างของมดลูกรวมถึงอวัยวะใกล้เคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังพบได้ที่ท่อไต ลำไส้เล็ก ปอด สมองและบริเวณผิวหนัง หรือแผลผ่าตัด พบได้ประมาณ 1 ใน 10 ของสตรีวัยเจริญพันธุ์และอาจสูงถึง 5 ใน 10 ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่มีอาการปวดประจำเดือน โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดประจำเดือนทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมานจากการปวด ส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง บางครั้งส่งผลทางด้านการงานและสังคม สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้สูง มักมีความสัมพันธ์กับการมีประจำเดือน เช่น สตรีที่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนเพื่อน ๆ สตรีที่เข้าสู่ภาวะวัยหมดประจำเดือน (วัยทอง) ช้ากว่าปกติ สตรีที่มีประจำเดือนออกมากและออกนานหลายวัน สตรีที่รอบเดือนมาถี่หรือระยะห่างระหว่างที่เป็นประจำเดือนแต่ละรอบสั้น สตรีที่มีมารดา พี่สาวหรือน้องสาวเป็นโรคนี้ สตรีที่มีลูกคนแรกตอนอายุมาก ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สูงขึ้น
นอกจากนี้ การดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟมากๆ ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มีทั้งแบบที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ โดยการแสดงอาการที่สงสัยว่าจะเป็นก็คืออาการปวดท้องน้อยในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
• อาการปวดประจำเดือน ซึ่งเป็นอาการส่วนใหญ่ที่มาพบแพทย์ โดยมักจะมีอาการปวดนำมาก่อน 2-3 วันก่อนที่ประจำเดือนมา ในช่วงที่กำลังมีประจำเดือนอาการปวดจะมากขึ้นและจะรุนแรงมากขึ้นในรอบเดือนถัด ๆ ไป
• อาการปวดท้องน้อยขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยลักษณะอาการปวดจะปวดเจ็บลึก ๆ ในช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์
• อาการปวดท้องน้อยเรื้อรังนานกว่า 6 เดือน
นอกจากนี้ กลุ่มเสี่ยงโรคยังครอบคลุมกลุ่มสตรีที่มีบุตรยาก คลำได้ก้อนที่ท้องน้อย เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด ส่วนน้อยอาจมีอาการอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับตำแหน่งของโรค เช่น สตรีที่มีตัวโรคอยู่ที่กระเพาะปัสสาวะ อาจมีอาการปวดเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยขึ้นหรือปัสสาวะเป็นเลือดช่วงที่เป็นประจำเดือน ในสตรีที่มีตัวโรคที่ลำไล้ใหญ่ส่วนปลายอาจมีอาการถ่ายลำบาก ปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ หรือถ่ายเป็นเลือด โดยเฉพาะช่วงที่เป็นประจำเดือน บางคนมีอาการไอเป็นเลือดในช่วงเป็นประจำเดือน เนื่องจากมีเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญที่ปอด
“โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นี้อาจทำให้เกิดปัญหาภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากโรคนี้มักจะทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน บางรายเป็นมากจนทำให้เกิดการอุดตันของท่อนำไข่ทั้งสองข้างทำให้ไม่สามารถมีบุตรเองได้โดยวิธีธรรมชาติ อาจจำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด หรือต้องใช้เทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว แพทย์หญิงกตัญญุตา นาคปลัด แพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า “ในกลุ่มของผู้ที่มีภาวะการมีบุตรยาก พบว่าเกี่ยวข้องกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูก 40-50% เพราะจะมีผลทำให้โครงสร้างของอวัยวะสืบพันธุ์ทำงานผิดปกติ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีโรค ทำให้ท่อนำไข่ตันและทำให้คุณภาพรังไข่ลดลง เพราะฉะนั้นคนกลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตั้งครรภ์ ทั้งนี้ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้หายขาดได้โดยธรรมชาติของโรค แต่จะดีขึ้นเองเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเนื่องจากวัยหมดประจำเดือนไม่มีฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) ในการกระตุ้นตัวโรคอีก ส่วนจุดประสงค์ของการรักษาในปัจจุบัน ก็เพื่อเป็นการบรรเทาอาการของโรคนี้ โดยเน้นการรักษาตามอาการ เป็นหลัก การรักษาแบ่งออกได้เป็น 3 วิธีใหญ่ๆ ได้แก่ 1.การรักษาด้วยยา 2.การรักษาด้วยการผ่าตัด และ 3.การรักษาร่วมกันระหว่างการให้ยาและการผ่าตัด ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดโรคนี้ที่ได้ผลแน่นอน ดังนั้นหากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคนี้ โดยเฉพาะอาการปวดประจำเดือนหรือปวดบริเวรท้องน้อย ควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อการวางแผนในการดูแลรักษาในอนาคตต่อไป”ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ณัฐวุฒิ
อย่างไรก็ตาม หากคุณสุภาพสตรีมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง แนะนำให้เข้ารับการปรึกษากับสูตินรีแพทย์และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง ทั้งนี้ สามารถนัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์กับทางศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ชั้น 9 อาคารศูนย์การแพทย์มะเร็งวิทยาจุฬาภรณ์ ผ่านทาง LINE Official @chulabhornhospital เลือกเมนู ศูนย์การรักษา > เลือก สุขภาพสตรี โดยเปิดให้บริการทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.00 – 20.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 16.00 น. รวมทั้งสามารถติดตามข่าวสารบทความกิจกรรมสุขภาพจากทางโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ทางเว็บไซต์ www.chulabhornchannel.com
ทางด้านนายกรหยก ศักดิ์การินทร์กุล ผู้อำนวยการฝ่าย Women’s Healthcare บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับไบเออร์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพผู้หญิงและยาปรับฮอร์โมน ร่วมรณรงค์ผ่านแคมเปญ “Bayer For Her” สนับสนุนให้ผู้หญิงหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพโดยเริ่มจากการสังเกตตัวเองว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ และควรปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย