TPIPP เสนอขายหุ้นกู้ไม่เกิน 4,000 ล้าน
บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2562 วงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปี อายุ 3 ปี 3 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2565 เสนอขายวันที่ 6 – 8 สิงหาคมนี้ พร้อมแต่งตั้ง ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ โดยนำเงินระดมทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโรงไฟฟ้า และลงทุนโครงการในอนาคต โดยได้รับการจัดอันดับเครดิตเรทติ้งของหุ้นกู้จากทริสเรทติ้งที่ “BBB+” แนวโน้มความน่าเชือถือ “Positive”
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2562 ครบกำหนดไถ่ถอน ปี 2565 มูลค่าไม่เกิน 3,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท รวมหุ้นกู้ที่เสนอขายทั้งสิ้นไม่เกิน 4,000 ล้านบาท โดยหุ้นกู้มีอายุ 3 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปี ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้จะเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป และ / หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน จำนวนจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และ ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยหุ้นกู้ในครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2562 อยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มความน่าเชือถือ “Positive” ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้
“การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อนำไปลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าของบริษัทที่มีอยู่ และนำไปลงทุนในโครงการของบริษัทในอนาคต และ/หรือ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวต่อไป” นายภัคพล กล่าว
การจัดอันดับเครดิตของ ทริส เรทติ้ง ที่ระดับ “BBB+” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Positive’ หรือ ‘บวก’ สะท้อนถึงความมั่นคงของกระแสเงินสดที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreements — PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดจนการมีอัตรากำไรที่สูงจากส่วนเพิ่มของราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และการมีต้นทุนเชื้อเพลิงที่สามารถแข่งขันได้ทั้งจากเชื้อเพลิงขยะ (Refuse-derived Fuel — RDF) และความร้อนทิ้งจากการผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทแม่
“ปัจจุบันโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 440 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบหมดทุกโรงแล้ว โดยในปี 2561 และในไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 3,699 ล้านบาท และ 983 ล้านบาท ตามลำดับ โดยผลการดำเนินงานได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมั่นคงมาโดยตลอด” นายภัคพล กล่าว