“ศักดิ์สยาม”เร่งปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปเข้าเขตพื้นที่กรุงเทพฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ประจำเดือนส.ค.62 เร่งปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปเข้าเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จี้ติดการก่อสร้างถนนพระราม 2 และสั่งเพิ่มการขนส่งทางรางเป็น 30% ภายใน 3 ปี
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ประจำเดือนสิงหาคม 2562 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ว่า ที่ประชุมติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ดังนี้
1.ติดตามการดำเนินการก่อสร้างถนนพระราม 2 โดยกรมทางหลวง (ทล.)ได้กำหนดมาตรการในการจัดการจราจรเพิ่มเติมสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ และอำนวยความสะดวกและปลอดภัยแก่ประชาชนสองข้างทาง พร้อมเร่งคืนพื้นผิวจราจรทางขนานโดยในเส้นทางขาเข้ามีกำหนดแล้วเสร็จ เดือนธันวาคม 2562 และขาออกมีกำหนดแล้วเสร็จ เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ปรับรูปแบบการก่อสร้างให้มีกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด
2.การดำเนินการแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ดำเนินการยกระดับการตรวจวัดค่าควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และพื้นที่ 15 จังหวัดโดนรอบ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในรถที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐานต้องไม่มีบนท้องถนน
3.การปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เข้าเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้สอดคล้องกับสภาพจราจรและการใช้รถใช้ถนนของประชนในปัจจุบัน ซึ่ง ขบ. เตรียมหารือผู้ประกอบการรถบรรทุกเพื่อดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวนำไปสู่การปฏิบัติ
4.การกำหนดอัตราความเร็วถนน 4 ช่องทางจราจรขึ้นไป ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อระบายการจราจรให้คล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่ง ทล. ได้ศึกษาพิจารณากำหนดอัตราความเร็วบนถนนทางหลวง โดยคัดเลือกทางหลวงหมายเลข 32 บางปะอิน – นครสวรรค์ เป็นโครงการนำร่อง โดยอยู่ระหว่างการสำรวจ และประเมินสายทาง
5.การสร้างทางเลือกใหม่ โดยการให้บริการรถรับจ้างสาธารณะผ่านแอพพลิเคชั่น และกำหนดแนวทาง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรถรับจ้างโดยสารสาธารณะ (TAXI) รูปแบบเดิม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ ขบ. ศึกษารวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการแอพพลิเคชั่นให้หลาหลาย พร้อมเน้นการพัฒนาที่เป็นของไทยตามนโยบาย Thai First นอกจากนี้ได้เร่งรัดการเชื่อมโยงระบบตั๋วร่วมในระบบรถไฟฟ้าก่อนขยายเชื่อมโยงไปสู่ระบบขนส่งอื่น
6.การศึกษาและจัดทำแผนแก้ปัญหาด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ และค่าทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) ให้สามารถผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางได้อย่างรวดเร็ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่านด่านตามนโยบายระยะเร่งด่วน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสั่งการเพิ่มเติมให้ ทล. ร่วมกับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หาแนวทางในการเชิญชวนส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบชำระค่าผ่านทาง M-Pass และ Easy-Pass มากขึ้น พร้อมทั้งแนวทางการลดค่าผ่านทาง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่จะต้องมีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
7.การพัฒนาการขนส่งทางราง โดยพัฒนารถไฟทางคู่ เพิ่มการขนส่งทางรางเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ภายใน 3 ปี เพื่อให้เป็นระบบโลจิสติกส์หลักในการขนส่งสินค้า ซึ่งกรมการขนส่งทางราง ได้มีแนวทาง อาทิ การปรับปรุงการเดินรถสินค้าให้เพียงพอ พิจารณาให้เอกชนเดินรถในรูปแบบ PPP Grost Cost ทดแทนการลงทุนจาก รฟท. ด้วยตนเอง ในเส้นทางที่มีศักยภาพ
8.การพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ให้เป็นการเดินทางและการขนส่งทางเลือกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เชื่อมโยงระบบขนส่งอื่น ซี่งกรมเจ้าท่า มีโครงการพัฒนาท่าเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาโดยการยกระดับการให้บริการเป็นสถานีเรือที่มีการเชื่อมโยงระบบขนส่งอื่น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้การพัฒนาท่าเรือต้องไม่กระทบต่อประชาชนที่โดยสารทางเรืออยู่ในปัจจุบัน พร้อมขยายการพัฒนาในเส้นทางเดินเรือคลองแสนแสบต่อไป นอกจากนี้ได้ติดตามแผนการพัฒนาขนส่งสินค้าทางน้ำในเส้นทางเดินเรือที่ลดปริมาณรถบรรทุกจากภาคใต้เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทางบกและทางน้ำบูรณาการร่วมกันจัดทำแผนในระยะเร่งด่วนและระยะยาว
9.การพัฒนาการคมนาคมทางอากาศ โดยติดตามแผนการสนับสนุนสายการบินต้นทุนต่ำ ให้สามารถบริการประชาชนในภูมิภาคได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีการตรวจสอบ ควบคุมเพื่อให้มีคุณภาพในการให้บริการตามาตรฐานสากล และส่งเสริมให้ท่าอากาศยานภูมิภาคสามารถเป็นศูนย์กลางรวบรวมผลผลิตและกระจายสินค้าเกษตร หรือสินค้าเน่าเสียง่ายออกสู่ท้องตลาด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถจำหน่ายผลผลิตได้มากขึ้น
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานดำเนินการประชาสัมพันธ์แผนงานโครงการต่าง ๆ รวมถึงชี้แจงข้อเท็จจริง ทำความเข้าใจแก่ประชาชนทราบในวงกว้างและเป็นการประชาสัมพันธ์เชิงรุก ให้ทุกหน่วยงานยึดหลักการ Thai First ด้วยการใช้วัสดุและเทคโนโลยีภายในประเทศ และการดำเนินการใด ๆ ต้องยึดหลักปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ยึดความโปร่งใส ตรวจสอบได้เป็นสำคัญ