“สนธิรัตน์” ลงพื้นที่อีสานตอนบนประกาศกร้าวคาดโทษหนักเจ้าหน้าที่เรียกรับสินบนโรงไฟฟ้าชุมชน
“สนธิรัตน์” ลงพื้นที่จ.ขอนแก่น รับฟังความคืบหน้าแนวทางดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนผลักดันนโยบายด้านพลังงานจากพลังงานจังหวัด พร้อมแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการด้านพลังงานในเขตพื้นที่เพื่อผลักดันนโยบาย Energy For All ให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงพลังงาน สามารถนำพลังงานไปหมุนเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน พร้อมคาดโทษหนักหากมีเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ขณะที่หลักเกณฑ์จะแล้วเสร็จกลางเดือน ก.พ. ล่าช้าเพราะโจทย์ใหญ่ต้องสร้างประโยชน์ให้ชุมชน ไม่ใช่ยึดปลตอบเป็นตัวเลขอย่างเดียว
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพลังงานลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น”เพื่อมอบนโยบายพลังงานชุมชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมีการรายงานแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน และนโยบายด้านพลังงานอื่นๆจากพลังงานจังหวัดขอนแก่น รัอยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม และรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการพลังงาน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น สส.พรรคพลังประชารัฐ ผู้แทนจากส่วนราชการและสื่อมวลชนให้การต้อนรับ และเข้าร่วมรับฟัง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ประชาชนและผู้ประกอบการ ให้การตอบรับนโยบายพลังงานดังกล่าวเป็นอย่างดี เนื่องจากนโยบายของกระทรวงพลังงานได้ส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นการพลิกมิติด้านพลังงานครั้งสำคัญ ตอบโจทย์ประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศสามารถเป็นเข้าถึงพลังงานได้ โดยนอกจากจะมีส่วนช่วยยกระดับให้ชุมชนได้เป็นผู้ผลิต ผู้ใช้ และผู้จำหน่ายไฟได้เองแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาปากท้อง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดการย้ายถิ่นฐาน สามารถเพิ่มการลงทุนในพื้นที่ได้อีก เช่น การปลูกพืชพลังงานเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง รวมทั้ง ลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 จากการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในที่โล่งแจ้ง ซึ่งในท้ายที่สุดทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ และด้านสุขภาพ
“เรื่องโรงไฟฟ้าชุมชนนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและอยากเห็นผลสำเร็จร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าและชุมชน คาดว่ารายละเอียดหลักเกณฑ์การจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ และคาดว่าจะมีคำขอเกินเป้าหมายที่กระทรวงพลังงานวางไว้ ซึ่งโจทย์หลักคือประโยชน์ชุมชน สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง มีชีวิตที่ดีขึ้น สามารถขายวัตถุดิบทางการเกษตรต่างๆ เป็นรายได้ ลดการเผา ลดปัญหา PM 2.5 ได้ด้วย อีกทั้งยังทำเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่งได้อีก เชื่อว่าพืชพลังงานที่จะทำมาใช้ในโรงไฟฟ้าจะต้องสร้างรายได้ต่อไร่ต่อปีที่มากกว่าเดิมอย่างแน่นอน เป็นเกษตรพันธสัญญากับโรงไฟฟ้า ปลูกแล้วรับซื้อกันไปได้ถึง 20 ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถมีรายได้ที่ดีอย่างยั่งยืนยาวนาน”
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่าสาเหตุที่หลักเกณฑ์จัดตั้งโรงไฟฟีาขุมชนล่าช้าเพราะการกำหนดหลักเกณฑ์ไม่ได้อิงกับผลตอบแทนเป็นตัวเลขอย่างเดียว แต่ยึดประโยชน์ประชาคมที่จะได้รับ ความยั่งยืน และความร่วมมือกันในระยะยาวด้วย
ทั้งนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาดำเนินงานร่วมกันกับชุนชน พร้อมย้ำว่า “หากมีเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าว จะลงโทษสถานหนัก และขอให้ผู้สนใจร่วมเป็นหูเป็นตาแจ้งข่าวให้กับผมด้วย”
“ขอให้มั่นใจได้ว่า กระทรวงพลังงานมีแนวทางในการดำเนินการที่ชัดเจนทั้งเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชนและพร้อมจะให้การสนับสนุนให้กับผู้ประกอบการ และชุมชนที่มีความพร้อมเข้าลงทุนเพื่อจะได้มีส่วนช่วยในการสร้างให้การลงทุนใหม่เกิดขึ้นได้ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับชุมชน ซึ่งกระทรวงพลังงานถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของนโยบายและโครงการนี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว